ดูเหมือนว่าวิกฤติการเงินในเอเชียจะลุกลามขยายออกไป จากประเทศหนึ่งสู่ประเทศหนึ่งอย่างรวดเร็ว
จากไทยสู่อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้ ประวัติศาสตร์ให้บทเรียนที่น่าสนใจ เกี่ยวกับการยับยั้งเปลวเพลิงของวิกฤติการเงินที่เกิดขึ้นในภูมิภาคนี้
บางบทเรียนเหล่านั้นได้แก่
- รัฐบาลควรคัดค้านการแปลงหนี้เอกชนมาเป็นของรัฐ
- การสนับสนุนธนาคารท้องถิ่นที่ล้มละลาย กลับ ทำให้สิ่งต่างๆ เลวร้ายลง
- การประกาศพักการชำระหนี้อย่างเป็นทางการ และการควบคุมการเข้าออกของเงินทุนยิ่งทำให้เงินทุนไหล
ออกนอกประเทศ
- ทุกฝ่ายจะประหยัดเวลาอย่างมาก หากธนาคารต่างชาติที่เป็นเจ้าหนี้ยอมรับเสียแต่ต้นเมื่อเกิดวิกฤติการเงินว่า
พวกเขาจะไม่ได้รับเงินคืนเต็ม 100 เซ็นต์จากทุกดอลลาร์ที่ปล่อยกู้ออกไป (ทั้งนี้เจ้าหนี้และลูกหนี้ในละตินอเมริกาเสียเวลาไป
7 ปีกว่าที่จะเข้าใจและยอมรับในเรื่องนี้)
วิกฤติการเงินที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งได้ชักนำให้เกิดการทำวิจัยใหม่ๆ มากขึ้น
แต่มีบางปัญหาที่ยังไม่ได้ตอบ นั่นคือ วิกฤติการเงินกับการธนาคารมักไปควบคู่กัน
แต่นักเศรษฐศาสตร์ไม่มั่นใจว่าอะไรเป็นไก่ อะไรเป็นไข่ หากสิ่งที่ทำให้เกิดวิกฤติการเงินยังเป็นคำถามเปิดอยู่
ประวัติศาสตร์เสนอว่ามีแนวทางบางอย่างที่ใช้ได้ผลดีกว่าแนวทางอื่นๆ ในการแก้ไขวิกฤติที่เกิดขึ้นในอดีต
กุญแจเริ่มที่สำคัญที่สุดคือการตรวจหาสาเหตุของโรคให้ได้ แดเนียล มาร์กซ์
- หัวหน้าคณะเจรจาหนี้ต่างประเทศของอาร์เจนตินาระหว่างปี 1989-1992 กล่าวว่าการหาสาเหตุของวิกฤติการเงินในละตินอเมริกา
เป็นปัญหาใหญ่มากอย่างหนึ่งระหว่างที่เกิดวิกฤติหนี้ต่างประเทศในทศวรรษ 1980
เขากล่าวว่า "มีการอธิบายสมมติฐานของวิกฤติอย่างผิดพลาดในตอนต้น คือมองกันว่าเป็นปัญหาเรื่องสภาพคล่อง
แต่จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องการล้มละลายของกิจการ (insolvency)"
สิ่งที่เกิดขึ้นมีความคล้ายคลึงกันมาก และกลายเป็นประเด็นสำคัญในเอเชียที่เพิ่มภาวะวิกฤติมากขึ้น
การให้ยืมเงินสดเพิ่มขึ้น-ช่วยผ่อนคลายให้เกิดสภาพคล่องแก่ลูกหนี้ที่ล้มละลาย
ก็เหมือนกับการโยนเงินดีๆ เข้าไปในกิจการที่แย่ ปัญหาของกิจการไฟแนนซ์ในประเทศไทยก็ถูกระบุว่า
เป็นเรื่องการขาดสภาพคล่อง แต่หลังจากที่รัฐบาลอัดฉีดเม็ดเงินเข้าไปหลายเดือน
รัฐบาลก็ต้องสั่งปิดกิจการไฟแนนซ์ 56 แห่ง เพราะว่าปัญหาจริงๆ คือล้มละลาย
ผลการศึกษาเกี่ยวกับวิกฤติธนาคารท้องถิ่น 24 แห่งตั้งแต่ปี 1980 พบว่า
ประเทศที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมธนาคาร สิ่งที่เกิดคล้ายคลึงกันคือ
มีการจำกัดการที่ธนาคารกลางจะเข้าค้ำยันธนาคารพาณิชย์ที่มีปัญหา ประเทศที่มีผลการปรับโครงสร้างธนาคารที่เลวร้ายมากก็คือ
ประเทศที่ธนาคารกลางเข้าไปโอบอุ้มธนาคารพาณิชย์ที่มีปัญหาอย่างมาก
รายงานการศึกษาซึ่งมาจากเอกสารการทำงานของไอเอ็มเอฟที่เผยแพร่เมื่อปลายเดือน
ธ.ค. เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะหาวิธีการที่ดีที่สุด ในการแก้ปัญหาวิกฤติธนาคารในประเทศเหล่านี้
บางทีการอนุมัติเงินกู้ฉุกเฉินแก่ 3 ประเทศในเอเชียก็มาจากองค์ประกอบหนึ่งในนโยบายที่ปรากฏในรายงานนี้
เมื่อผนวกปัญหาวิกฤติธนาคารในประเทศเข้ากับปัญหาค่าเงินและวิกฤติหนี้ต่างชาติ
สามเรื่องนี้ทำให้สถานการณ์ของประเทศไทย อินโดฯ เกาหลีใต้ ซับซ้อนยุ่งเหยิงมากขึ้น
เปรียบเหมือนความพยายามที่จะเล่นบาสเกตบอล ฟุตบอล และฮอคกี้ในเวลาเดียวกัน
ซึ่งมันก็คือเกมที่ทั้งสามประเทศพยายามเล่นอยู่ในเวลานี้ วิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดในเอเชียยามนี้
คล้ายคลึงกับวิกฤติการณ์ที่เกิดในละตินอเมริกาในทศวรรษ 1980 แม้ว่าสถานการณ์ในประเทศเหล่านี้และฉากหลังของสถานการณ์โลกจะต่างกันก็ตาม
นายธนาคารและนักเศรษฐศาสตร์ในเอเชียกล่าวว่า วิกฤติการณ์ในประเทศละตินอเมริกาแตกต่างออกไป
เพราะว่าหนี้ต่างประเทศส่วนมากของพวกเขามาจากภาครัฐเป็นผู้กระทำ แต่ในความเห็นของ
มร.มาร์กซ์ มองว่า อาจจะไม่ใช่ทีเดียวนัก วิกฤติในละตินฯ เมื่อเริ่มต้นนั้น
หนี้ต่างประเทศก็เป็นของเอกชน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ภาครัฐก็เข้ามารับภาระหนี้และทำให้หนี้เอกชนเหล่านั้นกลายมาเป็นของรัฐ
และเข้ารับผิดชอบการชำระหนี้ทั้งหมด
วิกฤติหนี้ในละตินอเมริกาเริ่มต้นเมื่อปี 1982 ต้องใช้เวลาถึง 7 ปี กว่าจะหาสูตรยาที่มีประสิทธิภาพรักษาได้
ซึ่งก็คือ แผนแบรดดี้ (Brady Plan) นิโคลัส แบรดดี้ ซึ่งในตอนนั้นดำรงตำแหน่ง
รมต. คลังสหรัฐฯ ปัจจุบันเป็นประธานบริษัทดาร์บี้ โอเวอร์ซีส์ (Darby Overseas)
ให้แนวทางสิ่งที่เรียกกันต่อมาว่า แผนแบรดดี้ ไว้ในคำกล่าวเมื่อปี 1989 โดยเสนอให้ธนาคารต่างประเทศปลดภาระหนี้ด้วยความสมัครใจ
และขายหนี้เก่าไปในตราสารใหม่ ซึ่งรวมเรียกกันในเวลาต่อมาว่า แบรดดี้ บอนด์
(Brady Bonds)
การเสนอให้มีการปลดภาระหนี้ หรือ debt relief ถือเป็นจุดเปลี่ยนในนโยบายของสหรัฐฯ
มีการแปลงหนี้เป็นทุนขนาดเล็กๆ เป็นจำนวนมากเมื่อวิกฤติทางการเงินเริ่มหยั่งลงลึก
อย่างไรก็ดีแนวทางหลักของประเทศเจ้าหนี้ส่วนมากที่มีต่อวิกฤตินี้ ก็ยังยืนยันที่จะให้มีการชำระหนี้เต็มจำนวน
ยืดอายุการชำระหนี้ รวมทั้งเพิ่มเงินกู้ให้อีก (เพื่อเอามาชำระหนี้คืน) ประเทศลูกหนี้ใช้เงินกู้ก้อนใหม่
เพื่อนำมาจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ก้อนเก่า แนวทางเช่นนี้ใช้ไม่ได้
ในจังหวะที่แบรดดี้เสนอแนวทางของเขานั้น หนี้ต่างประเทศของประเทศในละตินอเมริกามีประมาณ
400 พันล้านเหรียญฯ และวิกฤติการณ์ก็ลุกลามจนกลายเป็นเรื่องทางการเมือง มีบางประเทศได้ทดลองควบคุมการไหลออกของเงินและประกาศหยุดพักการชำระหนี้
ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก "นาทีที่คุณเริ่มควบคุมเงินทุน มันก็จะไหลออกในทันใด"
มร.มาร์กซ์ กล่าว
สำหรับวิกฤติการณ์ในเอเชีย ธนาคารต่างประเทศบางแห่งได้ตั้งสำรองหนี้สูญแล้ว
แต่ไม่เต็มใจที่จะบอกแก่สาธารณะในสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์มองว่าเป็นไปไม่ได้
นั่นคือการปลดหนี้
มอร์ริส โกลด์สไตน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านธนาคาร ที่สถาบันเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศในกรุงวอชิงตันกล่าวว่า
"เจ้าหนี้กำลังจะได้รับผลกระทบบ้างแล้ว ปริมาณหนี้ที่มีอยู่ควรลดทอนลง
หากคุณยังคงแขวนภาระหนี้ก้อนใหญ่นี้ค้างเติ่งไว้ มันจะส่งผลด้านลบต่อเศรษฐกิจ
คุณต้องทำให้มันลดลงในระดับที่ลูกหนี้สามารถชำระคืนได้"
อย่างไรก็ดี การพูดเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่า รัฐบาลของประเทศลูกหนี้ทั้งสามต้องรับภาระแปลงหนี้เอกชนเป็นของรัฐหมด
เพื่อให้เจรจากับแบงก์เจ้าหนี้ได้ง่ายขึ้น ทิม คอนดอน นักเศรษฐศาสตร์ประจำภูมิภาคที่
มอร์แกน สแตนเลย์ ดีน วิทเทอร์ กล่าวว่า "การทำเช่นนั้นมีประโยชน์อะไรแก่ผู้เสียภาษี?"
ธนาคารต่างประเทศพยายามที่จะผลักดันเกาหลีใต้ไปในแนวทางเช่นนี้ โดยเรียกร้องให้รัฐบาลรับภาระหนี้เอกชนไว้ทั้งหมด
แต่เกาหลีใต้อ่านเกมนี้ออกและในตอนนี้ก็สัญญาว่าจะค้ำประกันหนี้บางส่วนเท่านั้น
ไซมอน โอกัส นักเศรษฐศาสตร์ภูมิภาคที่ เอสบีซี วอร์เบิร์ก ดิลลอน รีด กล่าวว่า
ข้อเสนอเริ่มต้นของธนาคารต่างประเทศดังกล่าวเป็นข้อเสนอที่ "ตะกละ"
มาก ซึ่งนั่นอาจเป็นตัวอย่างที่โหดมากๆ ต่อไทยและอินโดนีเซีย
นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า การประกาศหยุดพักการชำระหนี้อย่างเป็นทางการก็เป็นนโยบายที่แย่
อย่างไรก็ดี การประกาศพักการชำระหนี้ภาคเอกชนอย่างไม่เป็นทางการ ก็อาจช่วยนำให้แบงก์เจ้าหนี้ต่างชาตินั่งโต๊ะเจรจากับคณะกรรมการลูกหนี้ได้
มันอาจยังช่วยกระตุ้นธนาคารเจ้าหนี้ยอมรับเรื่องการปลดหนี้ว่าเป็นทางออกอันหนึ่ง
ในแนวทางการแก้ไขวิกฤติหนี้ รัฐบาลสามารถช่วยลูกหนี้จัดตั้งกรรมการลูกหนี้เพื่อทำหน้าที่นี้
โดนัลด์ พี จาคอปส์ ผู้เชี่ยวชาญการธนาคารและคณบดีของคณะบริหารธุรกิจเคลล็อก
มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น กล่าวว่า เอเชียมีข้อดีกว่าประเทศในละตินอเมริกา
เพราะธนาคารสหรัฐฯ หลายแห่งต่างปล่อยสินเชื่อให้ละตินอเมริกา เมื่อคิดเป็นสัดส่วนของสินเชื่อทั้งหมดแล้ว
มีปริมาณที่สูงกว่าที่ปล่อยให้ประเทศในเอเชียมาก ในบางกรณี มูลค่าหนี้ของประเทศละตินอเมริกาบางแห่ง
มีปริมาณมากกว่าหลักทรัพย์ของธนาคารด้วยซ้ำไป ธนาคารสหรัฐฯ ต้องการหลีกเลี่ยงการตัดหนี้สูญ
จนกว่าพวกเขาจะสามารถรับภาระจากมันได้ ธนาคารเหล่านั้นจึงต้องการยืดอายุการชำระหนี้
(และนี่คือเหตุผลสำคัญในเรื่องนี้ - ผู้แปล)