Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน17 สิงหาคม 2547
ปตท.กำไรพุ่ง2.6หมื่นล้าน             
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

   
search resources

ไทยออยล์, บมจ.
ปตท., บมจ.
ประเสริฐ บุญสัมพันธ์
Energy




ปตท. กำไร 6 เดือนแรก 2.6 หมื่นล้านบาท โตขึ้น 47% ผลจากราคาน้ำมัน-ก๊าซ-ปิโตรเคมีสูงขึ้น หุ้นขึ้น 4 บาท ขาน รับผลประกอบการ ยืนยันนำไทยออยล์เข้าตลาด 26 ต.ค. จะระดมทุนกว่า 2 หมื่นล้านบาท

นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2547 ว่า ปตท. และบริษัทย่อย มีรายได้จากการขาย 150,673 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 26% มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย จ่ายภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBI TDA) 19,431 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.4% และกำไรสุทธิ 14,083 ล้านบาท เติบโตขึ้น 106.5% คิดเป็น กำไรสุทธิต่อหุ้น 5.03 บาท

ส่วนผลประกอบการงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2547 ปตท.และบริษัทย่อย มีรายได้ จากการขาย 287,796 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกัน ของปีก่อน EBITDA 37,277 ล้านบาท ขยายตัว 17.7% และกำไรสุทธิ 26,357 ล้านบาท โตขึ้น 47.8%

นายประเสริฐกล่าวถึงสาเหตุที่รายได้และกำไรขยายตัวขึ้นมากว่า เนื่องจากปริมาณขายและราคาผลิตภัณฑ์น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์โรงแยกก๊าซฯ ที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้ง มีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียเพิ่มขึ้น จากการที่บริษัทในเครือกลุ่มธุรกิจการกลั่นและปิโตรเคมีที่มีผลประกอบการที่ดีขึ้น รวมทั้งปตท.ได้บันทึกกลับรายการสำรองผลขาดทุนที่เกินกว่าเงินลงทุนในบริษัท อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (ATC) ที่คงเหลือจำนวน 2,160.44 ล้านบาท เป็นรายได้ในงบกำไรขาดทุน อันเนื่องมาจากการที่ ปตท. และ ATC ได้ร่วมลงนามในสัญญา Shareholder Loan Agreement เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2547 เพื่อทดแทนสัญญาให้การสนับสนุนของผู้ถือหุ้นที่ ปตท.มีกับกลุ่มเจ้าหนี้เดิม ซึ่งสิ้นสุดลง

ส่วนผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้ คาดว่าปตท.จะมีอัตราการเติบโตของกำไรจะไม่สูงเท่า ครึ่งปีแรก เนื่องจากไตรมาส 2 ของปีที่แล้ว ปตท. มีรายได้และกำไรต่ำกว่าปกติเนื่องจากเกิดการระบาดของโรคซาร์ส และค่าการกลั่นต่ำ ทำให้ไตรมาส 2 ของปีนี้มีผลการดำเนินงานขยายตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนค่อนข้างมาก ดังนั้น การเติบโตของผลประกอบการครึ่งปีหลังนี้จะสอดคล้องกับปริมาณการขายและมาร์จิ้นของผลิตภัณฑ์

ความเคลื่อนไหวของหุ้น ปตท. เมื่อวานนี้ มีแรงซื้อขายเข้ามาอย่างต่อเนื่องหลังจากบริษัทได้แจ้งผลประกอบการไตรมาส 2 โดยราคาหุ้นปิดตลาดราคาหุ้นปิดตลาดที่ 151.00 บาท เพิ่มขึ้น 4 บาท เปลี่ยนแปลง 2.72% มูลค่าการซื้อขายรวม 805.63 ล้านบาท

ไทยออยล์เข้าตลาด 26 ต.ค.

นายประเสริฐ ยังเปิดเผยว่า ขณะนี้ผู้ถือหุ้น โรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์ มีความเห็นพ้องร่วมกัน ที่จะนำไทยออยล์เข้าตลาดหลักทรัพย์ตามแผนเดิมแม้ว่าจะมีความห่วงใยในประเด็นราคาน้ำมัน ที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นและภาวะตลาดหุ้นไทยที่ผันผวน ก็ตาม เนื่องจากธุรกิจการกลั่นอยู่ในช่วงขาขึ้น และค่าการกลั่นไทยออยล์อยู่ในเกณฑ์ที่ดี 6.9 เหรียญต่อบาร์เรล เพราะเป็นโรงกลั่นที่ทันสมัย และภาระหนี้ต่ำ ทำให้ต้นทุนการกลั่นของไทยออยล์อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับโรงกลั่นอื่นๆ โดยจะทำพรีมาร์เกตติ้งในช่วงเดือนกันยายน หลังจากนั้นจะประกาศราคาขายหุ้น (ไอพีโอ) ในวันที่ 13 ตุลาคม และกำหนดวันซื้อขายหุ้นวันที่ 26 ตุลาคม 2547 โดยมีมูลค่าการระดมทุนประมาณ 500-600 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 20,000 ล้านบาท คิดเป็นจำนวนหุ้น 800-1,000 ล้านหุ้นหรือประมาณ 40% ของทุนจดทะเบียน ซึ่งมูลค่าระดมทุนสูงกว่าที่ตั้งไว้เดิม 300 ล้านเหรียญสหรัฐ เพราะตลาดมีความต้องการหุ้นไทยออยล์มาก นับเป็นบริษัทที่มีขนาดการระดม ทุนใหญ่ที่สุดในรอบปีนี้

นอกจากนั้น ยังจะปรับโครงสร้างของไทยออยล์คือ จะนำบริษัทในเครือ คือ บริษัท ไทยพาราไซลีน จำกัด และบริษัท ไทยลูบเบส จำกัดเข้ามารวมอยู่ในไทยออยล์ด้วย โดยผู้ถือหุ้นเดิม ใน 2 บริษัทดังกล่าวจะขายหุ้นที่ถืออยู่ให้กับไทยออยล์ทั้งหมด ซึ่งอาจจะรวมกันก่อนหรือภายหลังการกระจายหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ขึ้นอยู่กับผู้ถือหุ้น การกำหนดราคาเสนอซื้อขาย และบริษัทไทยลูบเบส ต้องออกจากกระบวนการ ฟื้นฟูกิจการด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้ไทยออยล์จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯแล้ว ปตท.ยืนยันที่จะรักษาสัดส่วนการถือหุ้นไทยออยล์เอาไว้ไม่ต่ำกว่า 40% จากปัจจุบันที่ถือหุ้นอยู่ 49.99% เนื่องจากเป็นโรงกลั่น หลักของปตท. โดยแหล่งเงินที่ใช้ในการซื้อหุ้นไทยออยล์นั้น จะมาจากการขายหุ้นในบริษัทไทย พาราไซลีนและไทยลูบเบส คืนแก่ไทยออยล์

ปัจจุบันไทยออยล์มีกำลังการกลั่นน้ำมันอยู่ที่ 2.2 แสนบาร์เรล/วัน โดยผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 2547 บริษัทฯมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA) 10,157 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 6,300 ล้านบาท

ส่วนความคืบหน้าในการซื้อหุ้นบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) (ทีพีไอ) ว่า ปตท.ยังอยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดในการเข้าไปถือหุ้นทีพีไอ โดยข้อเสนอของผู้ถือหุ้นระบุว่า เงื่อนไขต้องเหมาะสมทั้งด้าน ราคา และผลตอบแทนการลงทุน ซึ่งสามารถชี้แจงนักลงทุนได้ รวมทั้งใช้เงินไม่สูงเนื่องจากปตท.มีแผนจะใช้เงินเพื่อต่อยอดธุรกิจปิโตรเคมี โดยสัดส่วนที่ปตท.จะเข้าไปถือทีพีไอไม่เกิน 30%

ทั้งนี้ ปตท.มีแผนจะร่วมลงทุนกับบริษัทในเครือฯเพื่อนำโพรเพนและอีเทนที่เหลือในโรงแยกก๊าซฯแห่งที่ 5 และส่วนปรับปรุงของโรงแยก ก๊าซฯที่ 2 และ 3 เพื่อผลิตโพลีโพรพิลีนและโพลีเอทิลีน รองรับการใช้ในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us