ห่างหายกันไปนานสำหรับ สุนทร บุญสาย ผู้คร่ำหวอดในวงการประกันชีวิตบ้านเรา
วันนี้เขากลับมาอีกครั้งภายใต้ร่มเงาของ บมจ.ไทยประสิทธิ์ประกันภัย
สุนทรเงียบหายไปพักใหญ่ภายหลังจากการตัดสินใจครั้งสำคัญ ด้วยการโบกมือลาจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ
บมจ.ประกันชีวิตศรีอยุธยา เนื่องจากความไม่พอใจในการบริหารงานของผู้บริหารใหม่
ที่กลุ่มจาร์ดีนส่งเข้ามา
หลังจากนั้นไม่นานนัก เขาก็ได้ร่วมกับกลุ่มอัลฟาเทคฯ ฟอร์มทีมเพื่อยื่นขอทำธุรกิจประกันชีวิตในรูปลักษณ์ใหม่
ตามที่รัฐบาลเปิดโอกาสให้ โดยอยู่ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัทอัลฟาประกันชีวิต
แต่บริษัทนี้ไม่ผ่านการอนุมัติจากรัฐบาล โครงการสารพัดที่วาดหวังไว้จึงกลายเป็นฝันสลาย
แต่คนอย่างสุนทรย่อมไม่หยุดที่จะฝัน ถึงวันนี้เขากลับสู่สังเวียนเดิมอีกครั้ง
พร้อมกับแผนงานมากมายที่จะก้าวเดินไปพร้อมกับไทยประสิทธิ์... มิตรแท้
การกลับมาของสุนทรในครั้งนี้ มาพร้อมๆ กับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างครั้งใหญ่ของไทยประสิทธิ์ประกันภัย
โดยสุขเทพ จันทร์ศรีชวาลา ย้ายไปนั่งเก้าอี้ใหม่ในตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร,
สุนทร บุญสาย เป็นกรรมการผู้จัดการ (ประกันชีวิต), ดี.อาร์.ไอเยอร์ เป็นกรรมการผู้จัดการ
(บริหาร) และอมรทิพย์ จันทร์ศรีชวาลา เป็นกรรมการผู้จัดการ (ประกันวินาศภัย)
ตามด้วยผู้บริหารระดับรองกรรมการผู้จัดการและผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอีก
23 คน นับเป็นบริษัทที่มีผู้บริหารระดับสูงมากจนน่าเกรงขาม
สุขเทพให้เหตุผลในการปรับโครงสร้างครั้งนี้ว่า "เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจ"
เขาเชื่อว่าต่อไปประเทศไทยจะเหมือนกับประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา ที่อดีตสถาบันการเงินมีบทบาทสำคัญมาก
แต่ปัจจุบันธุรกิจประกันกลับมีบทบาทมากกว่า เพราะเป็นการออมเงินระยะยาวของประเทศ
เขาเชื่อว่าในปี 2541 และ 2542 นี้บริษัทจะสามารถขยายตัวและพัฒนาให้แข็งแกร่งได้
"และเพื่อรองรับการขยายตัวของบริษัท เราได้ทำการเพิ่มทุนอีก 500 ล้านบาท
ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 900 ล้านบาท"
สุนทรเองก็มีความมั่นใจไม่น้อยไปกว่ากัน "ผมมองว่าเรายังมีโอกาสสูงในการขยายตัวภายใน
3-5 ปีนี้ แม้ประเทศไทยจะมีปัญหาขาดสภาพคล่อง การว่างงานและอื่นๆ อีกมาก
การพัฒนาประเทศต่อไปต้องอาศัยเงินออมระยะยาว ซึ่งธุรกิจประกันชีวิตจะมีความสำคัญ
เพราะถ้าตรงนี้ไม่มั่นคง เราก็ต้องพึ่งพาเงินจากต่างประเทศ ซึ่งจะมีความเสี่ยงในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน"
ดังนั้นนอกจากเขาไม่มีแผนชะลอตัวเหมือนบริษัทประกันหลายแห่งแล้ว เขายังตั้งเป้าว่า
ปีนี้จะสามารถทำยอดเบี้ยประกันชีวิตได้ไม่ต่ำกว่า 250 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน
ซึ่งมียอดเบี้ยประกันประมาณ 120 ล้านบาท โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือกลุ่มผู้ส่งออก
ซึ่งยังมีอำนาจซื้อมากในปีนี้ และกลุ่มเด็กที่พ่อแม่เห็นสำคัญด้านการประกันชีวิต
สำหรับกลยุทธ์ที่จะนำไปใช้ก็คือ จะไม่มุ่งเฉพาะกรมธรรม์หลักเท่านั้น แต่จะมีกรมธรรม์เสริมเช่น
การคุ้มครองอุบัติเหตุ หรือในกรณีที่ลูกค้าไม่สามารถชำระเบี้ยประกันได้ เนื่องจากมีปัญหาทางด้านการเงิน
ก็สามารถเข้ามาพูดคุยกับทางบริษัทได้ว่าจะมีวิธีแก้ไขอย่างไรบ้าง เช่น อาจจะทำเรื่องกู้เงินกับบริษัทเพื่อมาชำระค่าเบี้ยประกัน
โดยเสียดอกเบี้ยในอัตรา 8% ซึ่งต่ำมาก
"เราต้องทำอะไรที่แตกต่างกับคนอื่น ถ้าทำได้ก็ไปได้ เราจะเน้นคุณภาพของงานและพัฒนาบุคลากรให้เป็นมืออาชีพ
ซึ่งตรงนี้จะเป็นหัวใจต่อไป"
สุนทรมองว่าการที่ไทยประสิทธิ์ มีทั้งประกันชีวิตและประกันวินาศภัยในบริษัทเดียวกันนั้น
นับเป็นข้อได้เปรียบ เนื่องจากปัจจุบันบริษัทประกันภัยทั่วไปจะได้ลูกค้ามาจากโบรกเกอร์
จะไม่มีการขายตรง แต่ไทยประสิทธิ์สามารถทำการขายเป็นรายบุคคลได้ ซึ่งจะเป็นการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ
นอกจากจากนี้ตัวแทนของบริษัทก็จะสามารถทำงานได้อย่างครบวงจร คือเสนอขายได้ทั้งประกันชีวิต
ประกันอุบัติเหตุ ประกันรถยนต์ ประกันอัคคีภัย และอื่นๆ เมื่อสินค้ามีความหลากหลาย
ก็จะทำให้พนักงานขายมีรายได้และเติบโตในธุรกิจนี้ได้อย่างมืออาชีพ ในขณะเดียวกัน
ลูกค้าที่เอาประกันก็สามารถเคลมประกันทุกอย่างได้กับบริษัทเดียว ทำให้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น
เช่น หากมีการเคลมประกันหลายอย่างในเวลาเดียวกัน
ทั้งนี้ตามกฎหมายบริษัทประกันชีวิตและประกันวินาศภัยจำเป็นต้องแยกออกเป็น
2 บริษัทภายในปี 2543 ซึ่งสุขเทพยืนยันว่าพร้อมที่จะแยก แต่ขณะนี้ยังไม่มีแรงจูงใจอะไรให้แยกบริษัทเร็วกว่าที่รัฐกำหนด
"ทุกวันนี้ยังไม่แยกเราจะมีต้นทุนที่ต่ำกว่า เช่น พนักงานก็ยังเป็นทีมเดียวกัน
สถานที่สาขาก็ใช้ที่เดียวกัน" สุขเทพกล่าว ฉะนั้นหากยังไม่มีอะไรจูงใจ
ก็มีแนวโน้มว่าเขาจะแยกบริษัทเมื่อถึงนาทีสุดท้าย
แม้ปีนี้เขาจะได้มือดีอย่างสุนทรเข้ามาช่วยงาน ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างรากฐานทางด้านประกันชีวิต
ให้มีความมั่นคงแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่ไทยประสิทธิ์ก็ยังไม่ลืมที่จะให้ความสำคัญกับประกันวินาศภัยมากขึ้นด้วย
ปีนี้บริษัทได้ลงทุนในระบบคอมพิวเตอร์ใหม่ เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงาน
และลดต้นทุนในเรื่องของกระบวนการทำงานที่ซ้ำซ้อน พร้อมทั้งมีแผนจะขยายสาขาเพิ่มประมาณ
10 แห่งทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าเบี้ยประกันวินาศภัยในปีนี้ไว้ประมาณ 926 ล้านบาท
จากที่ปีก่อนทำได้ 823 ล้านบาท
ในปีที่เศรษฐกิจตกต่ำจนน่าหวาดผวาเช่นนี้ บริษัทประกันหลายแห่งกำลังย่ำแย่กับปัญหาขาดสภาพคล่อง
เนื่องจากเงินตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวนมหาศาลติดอยู่ใน 16 และ 42 ไฟแนนซ์ที่ถูกปิด
โดยของประกันทั้งระบบจะเป็นตั๋วที่ไม่มีอาวัลประมาณ 3,500 ล้านบาท และตั๋วที่มีอาวัลประมาณ
4,000 ล้านบาท ซึ่งตั๋วที่อาวัลเหล่านี้ได้เปลี่ยนเป็นตั๋วใหม่แล้ว แต่ที่ยังมีปัญหาก็คือ
รัฐบาลทำยึกยักตีความว่าบริษัทประกันเป็นเจ้าหนี้สถาบันการเงินเหล่านี้ จึงจะให้อัตราดอกเบี้ยเพียง
2% เท่านั้น แทนที่จะให้ดอกเบี้ยเท่ากับประชาชนผู้ฝากเงินทั่วไป
"ของเราโชคดีที่เราไม่เสี่ยง ตั๋วของเราทุกใบมีการอาวัล แต่สำหรับเรื่องอัตราดอกเบี้ยนั้น
ตอนนี้กำลังพยายามคุยกับรัฐบาลว่าควรจะตีความว่าบริษัทประกันก็เป็นผู้ฝากเงิน"
สุขเทพกล่าว
แม้เศรษฐกิจจะย่ำแย่ ผู้คนจะขาดอำนาจซื้อ ประเทศชาติจะขาดสภาพคล่อง แต่สุขเทพก็เชื่อว่าไทยประสิทธิ์จะสามารถขยายตัว
และยืนหยัดต่อสู้กับวิกฤตเหล่านี้ได้ วันนี้เขามีสุนทรเข้ามาช่วยสานฝันและฝันนี้จะเป็นจริงหรือไม่
คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์