Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กุมภาพันธ์ 2541








 
นิตยสารผู้จัดการ กุมภาพันธ์ 2541
อภิรักษ์ วรรณสาธพ คนทำงานรัฐสไตล์เอกชน             
 


   
search resources

อภิรักษ์ วรรณสาธพ




"เศรษฐกิจของไทยตอนนี้ที่แย่ลงนั้น ยังน้อยกว่าสมัยเมื่อครั้งประเทศในกลุ่มยุโรปประสบปัญหาเรื่องภาวะเศรษฐกิจ ของเขาคนตกงานมากกว่าและไม่ได้ขวนขวายหางานทำเหมือนกับคนไทย คนของเขาได้เงินสนับสนุนจากทางรัฐบาลมาก ของเขาฟื้นตัวได้เร็วเพราะมีรัฐบาลที่ระดมการแก้ปัญหาอย่างมาก"

มุมมองของอภิรักษ์ วรรณสาธพ ผู้อำนวยการกองแผนงานและพัฒนา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ซึ่งอาศัยประสบการณ์ที่ได้พบเห็นจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในแถบทวีปยุโรป สะท้อนกลับมามองสถานการณ์ในประเทศไทยขณะนี้ว่า ยังไม่ได้รุนแรงมากมาย เพียงแต่ต้องมีการแก้ไขอย่างตรงจุดรวดเร็วและต่อเนื่องจริงจังจากทางรัฐบาลเท่านั้น

การถดถอยทางเศรษฐกิจเป็นเรื่องปรกติของการปรับตัว เมื่อเกิดการขยายตัวอย่างมาก เหมือนที่เกิดกับหลายประเทศ ที่อังกฤษปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำเกิดเร็วและรุนแรงกว่าประเทศอื่นในยุโรป แต่ก็ฟื้นตัวเร็ว เพราะรัฐบาลระดมหาทางแก้ปัญหาทุกวิถีทางอย่างเต็มที่

อภิรักษ์ ถือได้ว่าเป็นคนของรัฐ ที่มีความคิดก้าวหน้าแบบเอกชน โดยผู้ใหญ่หลายคนในบีโอไอเคยกล่าวไว้ว่า มุมมองของเขานั้นเป็นแบบคนตะวันตกมากกว่าที่จะนำมาใช้ในระบบราชการแบบไทยๆ ซึ่งเจ้าตัวยอมรับในจุดนี้ แต่ก็เป็นข้อดีสำหรับเขา

การทำงานในบีโอไอต้องติดต่อประสานงานกับภาคธุรกิจเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะต่างประเทศนั้น มีการทำงานที่แตกต่างกับคนไทย หากใช้วิธีคิดแบบราชการไทยทั่วไปเข้าไปเป็นตัวจักรประสานงานแล้ว งานอาจไม่คืบหน้า

อภิรักษ์ เป็นคนกรุงเทพ เกิดเมื่อปี 2503 จึงนับได้ว่าการรับตำแหน่งผู้อำนวยการกองแผนงานและพัฒนา ที่บีโอไอ เมื่อปี 2540 ที่ผ่านมาเป็นในช่วงที่เขายังอายุไม่มากนัก

หลังจบการศึกษามัธยมปลายที่โรงเรียนเซ็นต์คาเบรียล เมื่อปี 2521 ก็สอบเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิชาอุตสาหการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังจบการศึกษาปริญญาตรี ก็เข้าทำงานที่บริษัทมารูเบนีได้ไม่นานก็ไปศึกษาต่อปริญญาโท ด้านอุตสาหกรรมและการจัดการ ที่มหาวิทยาลัยโอกลาโฮมา สหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2525 จนกระทั่งปี 2531 เขาได้รับประกาศนียบัตรการจัดการโครงการอุตสาหกรรม กลับมาเมืองไทยก็เข้าเป็นเจ้าหน้าที่วิเคราะห์โครงการ ที่บีโอไอ

"การทำงานที่บีโอไอนั้นเป็นเรื่องบังเอิญ เพราะเห็นประกาศในหน้าหนังสือพิมพ์ เลยเขียนใบสมัครและมาสอบสัมภาษณ์จนได้งานในที่สุด" นั่นคือจุดเริ่มต้นการทำงานที่บีโอไอของอภิรักษ์

อภิรักษ์ใช้เวลาอยู่ในบีโอไอที่เมืองไทยไม่นานนัก ก็ต้องไปเป็นผู้แทนไทยประจำองค์การยูนิโด ที่สวิตเซอร์แลนด์ จนปี 2533 ก็ย้ายไปเป็นผู้ช่วยที่ปรึกษาเศรษฐกิจ (การลงทุน) ประจำนครแฟรงเฟิร์ต ประเทศเยอรมนี 2 ปีก็ย้ายไปอยู่ที่กรุงปารีสในตำแหน่งเดียวกัน

ซึ่งที่ฝรั่งเศสนี้เขาทำงานเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจ (การลงทุน) อยู่ถึง 4 ปี ก่อนย้ายมาเป็นหัวหน้าหน่วยพัฒนาการเชื่อมโยงอุตสาหกรรมที่สำนักงานกรุงเทพฯ เพียงปีเดียว ก็ได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการกองแผนงานและพัฒนา ซึ่งเริ่มต้นงานในหน้าที่ใหม่นี้พร้อมกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยที่เริ่มชะลอตัว

ประสบการณ์ในยุโรปนี้เองที่เขานำมาใช้กับการทำงานในกองแผนงานที่บีโอไอ

อภิรักษ์เล่าว่า เมื่อครั้งที่อยู่สวิตเซอร์แลนด์นั้น มีบริษัทเอกชนหลายรายของสวิสสนใจเข้ามาลงทุนที่ประเทศไทยจำนวนมาก ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่ที่ตั้งโรงงานอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมลำพูน ผ่านการติดต่อกับอภิรักษ์เมื่อสมัยประจำอยู่ที่ซูริก

แม้แต่กระทั่งโรงงานทำช็อกโกแลตเพื่อการส่งออกที่สระบุรี ซึ่งมีการส่งออกไปจำหน่ายทั่วโลก แต่ในประเทศไทยไม่มีใครรู้ เพราะไม่ใช่โรงงานที่ผลิตเพื่อขายในประเทศ

ที่เยอรมนีนั้น อภิรักษ์เคยประสานงานกับบริษัทเครื่องมืออุตสาหกรรรมอย่าง BOSCH ซึ่งให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย และเชิญเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนไปดูงานถึงเยอรมนี เพียงแต่บริษัทระงับแผนการลงทุนชั่วคราว ทำให้เงียบหายไประยะหนึ่ง

ในปีใหม่นี้ อภิรักษ์กล่าวว่า BOSCH ก็ยังให้ความสนใจตั้งโรงงานผลิตเครื่องมืออุปกรณ์ในอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ เพราะยังเห็นแนวโน้มในประเทศไทยว่าดีกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค แม้อยู่ในช่วงเศรษฐกิจขาลงก็ตาม

ส่วนที่ฝรั่งเศสนั้น มีบริษัทเอกชนหลายรายซึ่งเป็นรายย่อย ซึ่งเข้ามาร่วมทุนกับบริษัทในประเทศไทยด้านอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รายใหญ่ก็เป็นพวกอุตสาหกรรมยานยนต์ เช่น แบตเตอรี่

การทำงานของเขาที่สำนักงานที่ปรึกษาฯ ในยุโรปนั้น นอกจากจะทำหน้าที่เผยแพร่ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับหน้าที่ของบีโอไอ ในการเป็นผู้ประสานงานและเผยแพร่ข้อมูลการลงทุนในประเทศไทยแล้ว ยังทำหน้าที่ด้านการตลาดที่จะออกไปชักชวนนักลงทุนในประเทศนั้นๆ ให้สนใจเข้ามาลงทุนด้วย

และงานที่นอกเหนือจากนี้ก็คือ เป็นผู้รับรองวีซ่าเข้าประเทศให้กับนักลงทุนต่างชาติผ่านสถานทูต เพราะการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐจะได้รับความไว้วางใจอย่างมาก ในการรับประกันธุรกิจเอกชนให้เข้ามาลงทุน

หน้าที่ของบีโอไอนั้นมีความหลากหลาย การประสานกับภาคธุรกิจที่ไม่ได้เน้นเพียงแค่อุตสาหกรรมการผลิตเพื่อตั้งโรงงาน เพราะธุรกิจสาขาอื่นๆ ก็สามารถใช้บริการของบีโอไอได้ หากเขาเห็นทิศทางด้านธุรกิจที่ดี ก็อาจหันมาลงทุนในอุตสาหกรรมอื่นๆ แทนก็ได้

ความคิดของคนรุ่นใหม่อย่างอภิรักษ์ก็มีบางแง่มุม ซึ่งผู้ใหญ่ไม่เห็นด้วย เพราะดูจะเป็นการทำงานที่ไม่เข้ากับวัฒนธรรมแบบราชการไทย และทำให้เขาได้รับการตักเตือนหลายครั้ง ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมรับว่ายังรอดมาได้ด้วยดี โดยไม่มีปัญหาในการทำงานรุนแรงนัก

การทำงาน หากเป็นคนของรัฐน่าที่จะสามารถวิจารณ์งานของรัฐได้ เพราะเป็นการวิจารณ์ที่เนื้องาน ไม่ใช่ตัวผู้บังคับบัญชา ซึ่งถือเป็นข้อห้ามของคนรับราชการ การวิจารณ์เพื่อระดมความคิดเห็นในแง่มุมต่างๆ หากได้ข้อสรุปที่ชัดเจน ในฐานะเจ้าหน้าที่เขาก็สามารถรับขั้นตอนมาปฏิบัติงานได้ โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างไร เพราะถือว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นบทสรุปที่มีความชัดเจนแล้ว

เมื่อครั้งกลับมากรุงเทพฯ ใหม่ๆ เขาได้เขียนหนังสือเพื่อทำรายงานเสนอผู้ใหญ่ในบีโอไอ 2 เรื่อง เรื่องหนึ่งคือ "บีโอไอกับการพัฒนาคนและสังคม" และ "บีโอไอกับการปรับเปลี่ยนของกระแสโลก" ตั้งแต่ประมาณต้นปี 2540 แต่สิ่งที่ทำนั้นดูเหมือนจะล้ำยุคเกินไปสำหรับบีโอไอ และคงไม่เหมาะกับงานภาครัฐและการเป็นคนของรัฐบาล ทำให้หลายคนมองว่า เขาน่าจะไปอยู่ในหน่วยงานพัฒนาที่ไม่ใช่ของรัฐ หรือที่เรียกว่าเอ็นจีโอเสียมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ความคิดที่ค่อนข้างแรงและชัดเจนของผู้อำนวยการผู้นี้ คงมีส่วนช่วยงานของบีโอไอในหลายเรื่อง ไม่ให้หน่วยงานแห่งนี้ถูกมองว่าทำงานแบบราชการมากเกินไป เพราะเมื่อประเทศประสบภาวะเศรษฐกิจ หน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ต้องปรับตัวเอง ให้พร้อมเป็นผู้ช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้กับประเทศชาติได้เช่นกัน

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us