Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มีนาคม 2541








 
นิตยสารผู้จัดการ มีนาคม 2541
เยาวเรศ ชินวัตร กลับสู่สามัญ             
 


   
search resources

เยาวเรศ ชินวัตร




เมื่อ 20 ปีที่แล้วเธอเริ่มจับธุรกิจส่งออกสินค้าหัตถกรรมพื้นบ้านของไทย  ตั้งแต่ตะกร้าหวาย เสื้อผ้า ตลอดจนผ้าไหม ซึ่งเป็นธุรกิจประจำตระกูล  และอยู่มาวันหนึ่ง วันที่เศรษฐกิจไทยถึงขั้นบูมสุดขีด ที่ดินมีราคาสูงลิ่ว เธอก็เป็นคนหนึ่งที่หลุดเข้าไปอยู่ในวงโคจรของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทำให้เธอได้เม็ดเงินจำนวนมหาศาล แต่แล้วเหตุการณ์ที่ดูเหมือนว่าจะไปได้สวย กลับต้องหยุดอยู่กับที่ เนื่องจากคลื่นฟองสบู่แตกซัดให้เธอกระเด็นออกมาจากธุรกิจอสังหาฯ วันนี้เธอได้กลับไปทำในสิ่งที่เธอรักและมีความถนัดอีกครั้ง จนกลายเป็น "ชินวัตร โฮม มาร์ท" ขึ้น

เยาวเรศ  ชินวัตร  เป็นน้องสาวคนรองต่อจาก ดร.ทักษิณ ชินวัตร และเป็นพี่คนที่ 3 ของน้องๆ อีก  6 คน ปัจจุบันเธอเป็นคุณแม่ลูกสามและเป็นเจ้าของกิจการมากมายหลายแห่ง เธอไม่เพียงแต่เป็นคุณแม่คนเก่งของลูกๆ แล้ว  เธอยังเป็นนักสังคมสงเคราะห์ คอยช่วยเหลือผู้หญิงที่ทำงานในพื้นที่ภาคเหนืออีกด้วย

เยาวเรศคลุกคลีอยู่กับสินค้าไทยมาเป็นเวลานาน เริ่มตั้งแต่สมัยที่เธอออกเรือนมีครอบครัวแล้ว  เธอก็เริ่มประกอบกิจการเป็นของตัวเองด้วย การส่งออกตะกร้าหวาย ซึ่งเป็นเพียงธุรกิจเล็กๆ เท่านั้น โดยใช้พื้นที่เพียง 30 ตารางเมตรเป็นมุมหนึ่งในบริเวณโชว์รูมเสื้อผ้าส่งออกของทองสุทธิ์   ชินวัตร   ผู้เป็นอา ในวันนั้นไม่มีใครรู้หรอก ว่าอีก 20 ปีต่อมา เธอจะกลายเป็นเจ้าของกิจการใหญ่โตบนเนื้อที่ของโชว์รูมนี้ทั้งหมด

หลังจากที่ธุรกิจส่งออกตะกร้าหวายของเธอไปได้ดี เธอก็เริ่มมองหาแนวทางในการทำธุรกิจเพิ่มเติม เธอก็มองย้อนกลับไปที่ธุรกิจหลักของครอบครัวเธอก็คือ  "ผ้าไหม" ซึ่งในขณะนั้นชื่อเสียงของผ้าไหมชินวัตรโด่งดังมาก   เธอจึงเปิดร้านผ้าไหมเล็กๆ ขึ้นที่แถวๆ สุขุมวิทใช้ชื่อว่า SIAM SAND ซึ่ง SAND เป็นชื่อของลูกสาวคนโตของเธอ

จากการที่จับอะไรก็เป็นเงินเป็น ทองไปหมด ครั้นพอเพื่อนชาวญี่ปุ่นมาชวนให้ร่วมหุ้นทำธุรกิจนำเข้าเสื้อผ้าจากญี่ปุ่น  เธอก็ยินดี เพราะในสมัยนั้น เสื้อผ้านำเข้ายังมีน้อยมาก มีจำหน่ายที่ห้างไดมารูเพียงแห่งเดียวเท่านั้น เสื้อผ้าเธอก็เลยขายดิบขายดี ลูกค้าที่เด่นๆ ก็มียาจิตต์ ยุวบูรณ์ และนันทิดา แก้วบัวสาย เป็นต้น

ทำธุรกิจเสื้อผ้านำเข้าอยู่ระยะหนึ่ง เธอก็เริ่มเหนื่อยในการเดินทางเข้าออกนอกประเทศประกอบกับเลือด รักชาติแรง  เธอก็คิดว่า เมืองไทยเราน่าจะผลิตเองได้ เธอก็ตัดสินใจขายหุ้นคืนเพื่อนชาวญี่ปุ่นไป และเปิดโรงงานเย็บเสื้อผ้าเอง  โดยอาศัยการเรียนรู้ลักษณะ รูปแบบ ความประณีตของเสื้อผ้าจากญี่ปุ่นที่คุ้นเคยมาเป็นหลัก  

เธอส่งเสื้อผ้าของเธอไปจำหน่าย ในห้างสรรพสินค้ากว่า 10  แห่ง ก็ได้รับการตอบรับที่ดีมาก ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ของเธอจะเป็นนักแสดงวัยรุ่นสมัยนั้น เช่น อุทุมพร ศิลาพันธุ์ เป็นต้น

เมื่อทำเสื้อผ้าส่งห้างได้สักพักหนึ่ง  เธอก็พบว่า กำไรที่ได้มาต้องเสีย ไปกับการตกแต่งหน้าร้านที่ทางห้างกำหนดให้เปลี่ยนแปลงทุกๆ 3 เดือน  เธอเห็นว่าไม่คุ้ม ทำไปก็เหนื่อยเปล่าจึงเลิกทำ และหันกลับมาจับธุรกิจผ้าไหมอีกอย่างจริงจัง โดยไปเปิดร้านผ้าไหมที่พัทยา ใช้ชื่อว่า ชินวัตรพัทยา ปรากฏว่าประสบความสำเร็จมาก เนื่องจากเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีทัวร์มาลงมากและยังมีร้านขายผ้าไหมไม่มากเท่าไรนัก  จนกระทั่งในปีเดียวกันนั้น เธอก็ไปเปิดสาขาที่ภูเก็ต   ซึ่งมีลักษณะเป็นแหล่งท่องเที่ยวเช่นเดียวกับที่พัทยา โดยใช้ชื่อว่า ชินวัตรภูเก็ต

และหลังจากที่ธุรกิจผ้าไหมทั้ง  2  สาขาของเธอกำลังเจริญรุ่งเรืองดี ปรากฏว่ามีนักธุรกิจชาวอีสานที่ทำธุรกิจผ้าไหมเหมือนกันมาขอซื้อร้านชินวัตร ภูเก็ตด้วยราคาค่อนข้างสูง ในเมื่ออยู่ดีๆ ก็มีคนเอากำไรมาให้โดยไม่ต้องออกแรง  เธอจึงตัดสินใจขายให้ และปัจจุบันก็เปลี่ยนเป็นชื่อร้าน สมรไหมไทย แทน และเมื่อไม่ได้ทำร้านผ้าไหมที่ภูเก็ตแล้ว เธอก็เลยเซ้งร้านที่พัทยาไปให้น้องชายดำเนินการต่อ

เหตุการณ์การซื้อขายกิจการกันในครั้งนั้น  ทำให้เธอหลุดจากวงจรค้าเสื้อผ้าและผ้าไหม ก้าวเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มตัว และได้ก่อตั้งบริษัท ชินวัตรเชียงใหม่ ขึ้นบริหารโครงการต่างๆ ของเธอ เริ่มตั้งแต่โครงการตึกแถวที่เชียงใหม่ โครงการตัดที่ดินขายยกแปลง ซึ่งธุรกิจนี้เจริญรุ่งเรืองดีมาก  เธอก็ติดใจทำธุรกิจนี้เรื่อยมา จนกระทั่งล่าสุดคิดทำโครงการสุรวงศ์พลาซ่าขึ้นที่ใจกลางเมืองเชียงใหม่ และโครงการนี้เองที่ทำให้ธุรกิจอสังหาฯ ที่กำลังไปได้สวยของเธอสะดุดลง จากการก่อสร้างที่มีปัญหาเสร็จล่าช้ากว่ากำหนดถึง   2 ปี ซึ่งเธอบอกว่า การทำโครงการใดๆ ก็ตามควรจะก่อสร้างให้เสร็จภายใน 1 ปี เพราะหากช้ากว่านั้นก็หมายถึงดอกเบี้ยที่บานปลาย แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ ก็ได้มีการเปลี่ยนผู้รับเหมาและดำเนินการก่อสร้างโครงการต่อไป จนท้ายที่สุดเหลืออีกเพียง 5% ก็จะแล้วเสร็จ บังเอิญมาประจวบเหมาะกับภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ลงอีก ทำให้คนที่เข้ามาจองพื้นที่ในโครงการขอถอนตัวไปจำนวนมาก และเธอก็ไม่อยากเจ็บตัวมากไปกว่านั้น เธอจึงตัดสินใจชะลอการเปิดโครงการออกไปอีกปีหนึ่ง

แต่แล้วพิษของเศรษฐกิจก็หยุดยั้งเธอไม่ได้  เพราะในระหว่างที่ชะลอโครงการสุรวงศ์พลาซ่าอยู่นั้น ทองสุทธิ์ ชินวัตร อาของเธอ ผู้เป็นเจ้าของโชว์รูม ชินวัตร แฟชั่น เฮาส์  ซอยสุขุมวิท 23 ได้ถามเธอว่า สนใจพื้นที่ตรงนั้นไหม เพราะตัวเขาเองอยาก จะพักผ่อนและเลิกทำโชว์รูมนี้แล้ว จะผลิตเพื่อส่งออกอย่างเดียว ซึ่งสถานที่นี้เองที่ครั้งหนึ่งเป็นจุดเริ่มต้น การทำธุรกิจของเธอคือธุรกิจส่งออกตะกร้าหวายนั่นเอง

เธอก็มานั่งคิดว่า เธอจะทำอะไรดี "ถ้าจะทำเป็นร้านผ้าไหมก็ไม่เหมาะ เพราะต้องใช้เวลามาก ประกอบกับฝั่งตรงข้ามของโชว์รูมนี้ก็มีร้านชินวัตรไหมไทยของป้าอยู่แล้ว  และหากจะทำเป็นร้านจำหน่ายสินค้าไทยแท้ๆ  ก็จะไปเหมือนร้านนารายณ์ภัณฑ์ ถ้าจะทำแบบไม่มีลู่ทางที่ชัดเจนก็จะเหมือนกับไนท์พลาซ่า" จนในที่สุดเธอก็คิดคอนเซ็ปต์ร้านออกมาได้ว่า ต้องเป็นร้านที่จำน่ายสินค้าไทยที่ราคาไม่แพง  เหมาะกับยุคสมัยประหยัด และร่วมกันกินของไทยใช้ของไทย  จึงกลายมาเป็นร้านจำหน่ายสินค้าหัตถกรรม จำพวกของใช้และของตกแต่งบ้านนานาชนิดจากทั่วทุกภาคในประเทศไทย โดยใช้ชื่อว่า "ชินวัตร โฮมมาร์ท"

ตลอดระยะเวลาในการทำธุรกิจส่วนตัวของเธอที่ผ่านมา เธอก็ทำงานเพื่อสังคมควบคู่ไปด้วยในหลายองค์กร  อาทิ เป็นกรรมการอำนวยการสภาสตรีแห่งชาติ โดยทำหน้าที่เป็นประธานประสานงานในเขตภาคเหนือ และนายกสมาคมสตรีนักธุรกิจและวิชาชีพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำจังหวัดเชียงใหม่  เป็นต้น  และการทำงานเพื่อสังคมนี้ทำให้เธอมีโอกาสได้สัมผัสกับการทำงานของกลุ่มสตรีในภาคเหนือ ที่ยังคงมีปัญหาที่ต้องแก้ไขมากมาย

"การออกไปพบปะกับกลุ่มแม่บ้านในชนบท  ทำให้เรารู้ว่าเขามีปัญหาในเรื่องของความรู้ทางด้านการตลาด การกระจายสินค้า เราก็ได้ให้แนวทางในการพัฒนาแก่พวกเขาไป" เยาวเรศเล่า จุดนี้เองที่ทำให้เธอได้เข้าไปสัมผัส ยังแหล่งผลิตสินค้าไทย และติดต่อเลือกนำสินค้าเหล่านั้นมาวางขายที่ ชินวัตร  โฮมมาร์ท ด้วยตัวเอง ถือเป็นการส่งเสริมอาชีพให้แก่กลุ่มสตรีในชนบท และเป็นการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นด้วย

ทั้งนี้  นอกจากชินวัตร โฮมมาร์ท ที่สุขุมวิท 23 แล้ว ยังมีสาขาย่อยอยู่ที่ศูนย์สรรพสินค้าพรอมมานาด อีกที่หนึ่ง  ลูกค้าที่สนใจสินค้าของที่นี่สามารถมาเดินชมได้ที่โชว์รูม หรือจะเข้ามาเยี่ยมชมและสั่งซื้อผ่านอินเตอร์เน็ตก็ยังได้ที่ www.shm.co.th

เยาวเรศพยายามที่จะสร้างชินวัตร  โฮมมาร์ทให้เป็นระบบมากที่สุด เพื่อรองรับการขยายตัวในอนาคต ซึ่งขณะนี้เธอมีแผนที่จะขยายสาขาไปเปิดที่โครงการสุรวงศ์พลาซ่าที่เชียงใหม่  โดยเธอวาดภาพคร่าวๆ ว่าจะใช้พื้นที่ชั้นแรกของพลาซ่านี้เป็นโชว์รูมของชินวัตร  โฮมมาร์ท และชั้นที่ 2 ทำเป็นมินิเธียเตอร์ ส่วนชั้นสามชั้นบนสุดเป็นศูนย์อาหาร เพียงแค่นี้ก็ไม่ต้องไปแข่งกับใครแล้ว นับเป็นความโชคดีของเธอที่ไม่ดันทุรังเปิดโครงการนี้ไปในช่วงก่อนหน้านี้ "ช้าๆ ได้พร้าสอง เล่มงาม" เธอกล่าวอย่างอารมณ์ดี

ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีของ เธอบนถนนสายธุรกิจ ชีวิตเธอก็ขึ้นๆ ลงๆ มาตลอด (แม้จะขึ้นมากกว่าลงก็ตาม) เธอจะได้กำลังใจและคำแนะนำที่ดีจาก ดร.ทักษิณ พี่ชายที่เธอเปรียบเสมือนพ่ออยู่สม่ำเสมอ

"ท่านมีความหมายกับพี่มาก เหมือนเป็นพ่อเรา เพราะท่านเป็นพี่ชายคนโตและเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ  ท่านก็มักจะให้คำปรึกษาที่ดีอยู่เสมอ  จะคอยช่วยมองให้ว่าควรจะทำธุรกิจอะไร  ควรจะหยุดชะลอตอนไหน ซึ่งท่านจะมองถูกทุกอย่าง และเท่าที่ผ่านมาที่เชื่อท่านก็ยังไม่เคยเจอปัญหาเลย" เยาวเรศกล่าวถึงพี่ชายอย่างภูมิใจและที่ขาดไม่ได้คือกำลังใจจากครอบครัว   จากวีระชัย วงศ์นภาจันทร์ สามีผู้ที่คอยให้ความสนับสนุน และคำแนะนำเกี่ยวกับตัวเลขทางการเงินในการทำธุรกิจของเธอ  รวมทั้งเธอยังได้กำลังใจจากลูกๆ ทั้ง 3 คนอย่างเต็มเปี่ยมอีกด้วย

"พี่กับลูกจะใกล้ชิดกันมาก เวลาเราไปไหนหรือทำอะไร เขาจะตามเราไปตลอด เวลามีคนถามเขาว่าโตขึ้นแล้วอยากเป็นอะไร เขาก็จะตอบทันที่ว่าอยากเป็นนักธุรกิจแบบคุณแม่ แสดงว่าเขามองเห็นภาพที่ดีของเรา เขาถึงอยากทำตาม กลับเป็นเรื่องที่ดีที่เขาตามเรา เวลาไปไหนมาไหนแล้วมาเห็นในสิ่งที่เราทำ ก็เท่ากับว่าเป็นการสอนเขาไปด้วยในตัว" คุณแม่คนเก่งกล่าวอย่างภูมิใจ

ผู้หญิงคนนี้ไม่เคยพบกับคำว่า "แพ้" เพราะเมื่อใดที่เธอพบกับทางตัน เธอก็จะมองหาหนทางใหม่ๆ อยู่เสมอ และวันนี้เธอก็ได้พบกับหนทางที่เธอรักและผูกพันอย่างแท้จริงแล้ว

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us