ในยุคเศรษฐกิจฟองสบู่ยังไม่แตก บรรดาร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดชื่อดังจากต่างประเทศปรากฏให้เห็นอยู่เกลื่อนกลาดทั่วเมืองกรุง คนไทยก็รับวัฒนธรรมอาหารขยะหรือที่เรียกว่า
junk food จากตะวันตกเข้ามาเต็มๆ แต่วันนี้ คนไทยได้พิสูจน์ฝีมือสร้างฟาสต์ฟู้ดมาตรฐานสากลที่
"มิลค์ พลัส" ร้านสารพัดขนมและนมสด เพื่อสุขภาพและความรู้สึกดีๆ
ทุกวันนี้ "นม" กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนรุ่นใหม่ไปแล้ว ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างก็ต้องการ
"โปรตีน" และ "แคลเซียม" ที่ได้จากนมทั้งสิ้น และเครื่องเคียงที่ทานร่วมกับนมก็คงหลีกไม่พ้น
"ขนมปัง" ยิ่งถ้าเป็นขนมปังปิ้งทาเนยโรยน้ำตาล ราดนมข้น ยิ่งทำให้ได้รสชาติในการรับประทานยิ่งขึ้น
ชวนให้นึกถึงบรรยากาศของร้านกาแฟ ร้าน โกปี๊เก่าๆ ขลังๆ ที่มีอาแป๊ะชรายืนชงนม
ชงกาแฟ... คอยให้บริการอย่างเป็นกันเอง แต่ภาพเหล่านี้ ก็ค่อยๆ หายไปตามกาลเวลา
คนรุ่นใหม่ที่เป็นลูกหลานของอาแป๊ะเหล่านั้น เมื่อได้รับการศึกษา ได้เรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ
น้อยคนที่จะกลับไปยืนหลังขดหลังแข็ง เพื่อสืบทอดการชงนม ชงกาแฟ แบบเก่าๆ
ในร้านโทรมๆ ต่างก็ออกไปทำมาหากินในวิถีทางของตนเอง
กระนั้นยังมีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่ยังมีความผูกพันกับร้านโกปี๊เก่าๆ ที่เคยสัมผัสในวัยเด็ก
พวกเขาเป็นกลุ่มเพื่อนเก่าสมัยเรียนรั้วชมพู-ฟ้า ซึ่งต่างคนต่างก็เป็นนักธุรกิจร่วมสมัย
ที่เติบโตในยุครอยต่อของเศรษฐกิจฟองสบู่ที่รุ่งเรืองจนกระทั่งแตกกระจุย ถึงเวลาแล้วที่พวกเขามานั่งจับเข่าคุยกันว่าจะทำอะไรกันดี จนในที่สุดก็ได้บทสรุปที่การทำร้านเกี่ยวกับอาหารทานเล่น
(SNACK FOOD) ที่เป็นของไทยๆ โดยมี นม และ ขนมปัง เป็นพระเอกของร้านเหมือนเมื่อครั้งอดีต
จึงเป็นที่มาของร้าน MILK PLUS (มิลค์ พลัส) แต่สิ่งที่มิลค์ พลัส แตกต่างจากร้านโกปี๊ในอดีตโดยสิ้นเชิงก็คือ บรรยากาศของร้านตั้งแต่หน้าร้านจนภายในร้านที่จะให้ความรู้สึกสะอาดตา
สบายใจ และระบบการให้บริการที่เสมือนเป็นร้านฟาสต์ฟู้ดของแบรนด์ดังๆ จากเมืองนอกทีเดียว จนไม่ทันคิดว่า ร้านนี้จะเป็นฝีมือของคนไทย
100% ที่อาศัยประสบการณ์ความรู้ความเชี่ยวชาญในธุรกิจฟาสต์ฟู้ด ที่ได้มาจากต่างประเทศมาปรับใช้ให้เข้ากับยุคสมัยในปัจจุบันได้อย่างกลมกลืน
พิทักษ์ ศรีสกลกิจ คีย์แมนคนสำคัญของร้านมิลค์พลัส ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของกลุ่มมาเล่าความเป็นมาเป็นไปของร้านมิลค์
พลัสว่า "พวกเราคิดกันว่า ถ้าเราเอาขนมไทยๆ มาผสมผสานกับวิธีการให้บริการแบบตะวันตก น่าจะตรงกับสภาพชีวิตของคนรุ่นใหม่มากที่สุด
ที่ต้องการร้านที่มีความสะอาด ความทันสมัยและสามารถใช้เป็นสถานที่นัดพบได้
เมื่อคุยไปคุยมาก็ลงตัวออกมาเป็นร้านนี้"
และหลังจากที่ได้คอนเซ็ปต์ร้านแล้วพวกเขาก็ช่วยกันมองหาทำเลจนมาได้ที่บนหัวมุมถนนสีลม
ปากซอยสีลม 19 ซึ่งเดิมเป็นที่ตั้งของร้านอาหารรินคำ ร้านอาหารจีนดั้งเดิม
ที่เขาเลิกกิจการสาขานี้และประกาศเซ้งตึกพอดี มิลค์ พลัส จึงยึดทำเลที่ตั้งแห่งนี้เปิดเป็นสาขาแรกตั้งแต่เดือน
พ.ย.39 เป็นต้นมา
พวกเขาใช้เวลาในการเตรียมการทั้งสิ้นประมาณ 3 เดือน เริ่มตั้งแต่คิดคอนเซ็ปต์พัฒนาสินค้า
และตกแต่งร้าน ซึ่งการคิดคอนเซ็ปต์กับการพัฒนาสินค้าจะต้องทำควบคู่กันไป
จากนั้นก็มาตั้งชื่อร้าน ตอนแรกพวกเขาอยากใช้ชื่อไทยๆ แต่ในที่สุดก็มาลงตัวที่
"MILK PLUS" ชื่อที่พวกเขาคิดว่า จดจำง่าย ให้ความหมายที่กระชับและชัดเจนที่สุด
MILK ก็คือ นม PLUS ก็ให้ความหมายในทิศทางที่มากกว่า เมื่อรวมกันแล้วก็หมายถึง
อะไรก็ตามที่มากกว่านม ส่วนโลโกของร้านก็ใช้สัญลักษณ์ "วัวอารมณ์ดี"
ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับนมตรงตามคอนเซ็ปต์ของร้าน บรรยากาศภายในร้านก็จะตกแต่งด้วยลวดลายของวัว
โดยใช้สีขาวดำเป็นหลัก แม้กระทั่งถุงและแพ็กเกจก็ยังเป็นลายของวัวอารมณ์ดีตัวนี้
พร้อมกันนั้นยังมีสีชมพู-ฟ้าปรากฏอยู่บนโลโกมิลค์ พลัสอีกด้วย เสมือนเป็นการเตือนใจให้พวกเขาระลึกถึงความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่น
นับจากวัยเรียนจวบจนปัจจุบัน
มิลค์ พลัส จะมีเครื่องดื่มที่มีนมเป็นส่วนผสมทุกชนิด อาทิ นมร้อน นมสดเย็นที่มีสูตรเข้มข้นเป็นพิเศษ
นมช็อกโกแลต นมน้ำแดง ซึ่งที่นี่เรียกว่า SALA MILK และยังมีนมสำหรับผู้ที่รักษาหุ่นด้วย
เช่น นมสดพร่องไขมันเนย นมเปรี้ยวโยเกิร์ต รวมทั้งเครื่องดื่มอื่น ได้แก่
ชาเย็น ชามะนาวเข้มข้น กาแฟร้อน กาแฟเย็น และเครื่องดื่มสารพัดให้เลือกตามชอบ
"เราใช้นมพาสเจอร์ไรซ์ที่มีอยู่ในเมืองไทยมาปรุงแต่งด้วยสารธรรมชาติ
โดยเราพยายามจะปรับปรุงองค์ประกอบของนมให้มีคุณภาพเท่ากับนมในต่างประเทศ
ฉะนั้นนมที่ปรุงสำเร็จออกมาแล้วจะมีรสชาติเข้มข้น และมีปริมาณโปรตีน เหมือนกับนมยี่ห้อดังๆ
ในต่างประเทศ" พิทักษ์มั่นใจ
นอกจากนั้นยังมีขนมแกล้มนมให้อิ่มสบายท้องอีกด้วย อาทิ ขนมปังปิ้งทาเนยโรยน้ำตาล
ขนมปังทาแยมผลไม้ ขนมปังราดนมข้นหวาน และที่ขึ้นชื่อก็คือ ขนมปังราดสังขยาสูตรต้นตำรับโบราณ
เป็นต้น ซึ่งสูตรของขนมปัง พิทักษ์ก็ได้พัฒนาร่วมกับซัปพลายเออร์อย่างละเอียด
เริ่มตั้งแต่การกำหนดความหนาแน่น ความชื้น จำนวนแผ่น รวมทั้งกลิ่นและรสชาติของขนมปัง
เพื่อให้ขนมปังที่ร้านนี้มีรสชาติดีและมีคุณค่าทางอาหารมากที่สุด
หากจะมีขนมปังไทยเพียงอย่างเดียวก็เกรงว่าจะให้บริการแก่ลูกค้าไม่ทั่วถึง
มิลค์ พลัส จึงมีมุมเบเกอรี่ สำหรับผู้ที่นิยมขนมปังฝรั่งไว้ให้บริการอีกด้วย
อาทิ ครัวซองท์ แซนด์วิชไส้ต่างๆ เค้กเนยสด พายสับปะรด เป็นต้น ซึ่งทุกชิ้นมีสูตรลับเฉพาะและผลิตด้วยกระบวนการที่ใหม่
สด อบจากเเตาหอมกรุ่นทุกๆ 2 ชั่วโมง โดยพิทักษ์กล้ารับประกันว่าของที่นี่จะให้รสชาติที่สดใหม่ทุกวัน
แม้ว่า มิลค์ พลัส จะเพิ่งผ่านขวบแรกไปเมื่อไม่นานนี้ แต่ก็ได้รับการตอบสนองจากลูกค้าเป็นอย่างดี
จากเดิมที่ทางกลุ่มผู้บริหารของร้านได้ตั้งเป้ากลุ่มลูกค้าไว้ที่ลูกค้าวัยเด็กจนถึงอายุ
25 ปี ปรากฏว่าทางร้านได้ลูกค้าวัยเกิน 25 ปีจนถึงประมาณ 70 ปีก็มี เป็นของแถมด้วยจากการที่ผลิตภัณฑ์ของที่นี่เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ทานได้
เด็กทานดี และเหมาะกับยุคประหยัดที่เงินทุกบาททุกสตางค์มีค่า
"ถึงแม้ว่า ลักษณะการให้บริการของเราจะเป็นมาตรฐานสากล ทำให้ดูเหมือนว่า
สินค้าจะมีราคาแพงไปด้วย แต่เมื่อลูกค้าเข้ามาแล้วจะไม่รู้สึกว่าแพง ถ้าเทียบกับคุณค่าที่ได้รับ
และเราเองก็พยายามที่จะกำหนดราคาไม่ให้สูงเกินไป โดยเฉลี่ย ITEM หนึ่งไม่เกิน
20 บาท เมื่อคิดเป็นค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวก็ประมาณ 30-40 บาทต่อ 1 อิ่ม
ซึ่งเราคิดว่า เป็นราคาที่สมเหตุสมผลแล้ว และสินค้าของเราก็อยู่ในหมวดอาหารที่มีความจำเป็น
มิใช่สินค้าฟุ่มเฟือย" พิทักษ์ชี้แจง
ยิ่งไปกว่านั้น การที่ได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้นทำให้ยอดขายของมิลค์
พลัส ไปถึงจุดคุ้มทุนตั้งแต่ในปีแรก จากเดิมที่ตั้งไว้ประมาณ 2 ปี โดยมียอดขายนับตั้งแต่เปิดร้านมาเฉลี่ยวันละประมาณ
40,000-50,000 บาท ยกเว้นช่วงปิดเทอมหรือวันหยุดยาวๆ ยอดขายก็จะตกลงประมาณ
20% นี่คือกำลังใจสำคัญที่จะทำให้พวกเขากล้าที่จะก้าวไปสู่สเต็ปต่อไป
"เราลงทุนกับร้านนี้ไปประมาณ 3 ล้านบาท และจากการที่ต้นทุนอาหารเราสูงมาก
เนื่องจากเราใช้แต่ของดีๆ มีคุณภาพ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์ของเนสท์เล่ทั้งสิ้น
เราจึงคิดว่า ต้องใช้เวลาประมาณ 2 ปีด้วยปริมาณการขายจำนวนหนึ่งจึงจะคุ้มทุน
แต่ว่าเมื่อทำจริงแล้ว ปรากฏว่า ยอดขายเราเพิ่มขึ้นเร็วมาก จนกระทั่งวันนี้เลยจุดคุ้มทุนไปแล้ว"
พิทักษ์กล่าวอย่างสบายใจ
วาดฝันขยายแฟรนไชส์ไปต่างแดน
ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ การลงทุนทำธุรกิจอะไรสักอย่างคงไม่ใช่เรื่องง่าย
ถ้าหากไม่มีความพร้อมและความตั้งใจจริง "มิลค์ พลัส" เป็นตัวอย่างที่ดีของนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่ต้องการมีกิจการเป็นของตนเอง
และยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นกิจการที่มีการสร้างและบริหารระบบเกิดขึ้นจากฝีมือของคนไทยเอง
ระบบทุกอย่างภายในร้านมิลค์ พลัส จะเป็นแบบ INTERNATIONAL OPERATING SYSTEM
ซึ่งเป็นความรู้และประสบการณ์การจัดการร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่พิทักษ์พกติดตัวมาจากอเมริกา
"ระบบการบริหารธุรกิจนี้จะมีเป็นมาตรฐานอยู่แล้ว เพียงแต่เราเอามาปรับเปลี่ยนให้เข้ากับธุรกิจของเรา
โดยให้ร้านของเราทุกสาขามีมาตรฐานเดียวกันหมด และพนักงานทุกคนต้องผ่านการฝึกอบรมจากศูนย์ฝึกอบรมของเราก่อนจึงจะปฏิบัติงานจริงได้
ซึ่งการที่เราสร้างงานที่เป็นระบบเช่นนี้จะทำให้ร้านของเราสามารถขยายตัวได้อย่างไม่จำกัด"
พิทักษ์มั่นใจ
สำหรับแผนการขายแฟรนไชส์ในอนาคต พิทักษ์เผยว่า ในขั้นต้นประมาณ 5-10 สาขาแรก
ทางมิลค์ พลัสจะเป็นผู้ลงทุนและบริหารเองก่อน เพื่อเป็นการทดสอบระบบ และกระจายชื่อเสียงของร้านให้เป็นที่รู้จักแก่คนทั่วไป
จากนั้นจึงจะเริ่มรับสมัครผู้ที่สนใจทำธุรกิจนี้ และในขั้นต่อไปก็จะขายแฟรนไชส์ให้กับชาวต่างชาติที่สนใจด้วย
ซึ่งเขาได้เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีผู้สนใจมาติดต่อเป็นจำนวนมาก ทั้งคนไทยและคนต่างชาติ
แต่ต้องรอให้ทุกอย่างที่สร้างไว้แข็งแกร่งเสียก่อนจึงจะขายแฟรนไชส์ได้
"ตอนนี้เรากำลังเลือกทำเลที่จะเปิดสาขาที่ 2 อยู่ ซึ่งเราคาดว่าในปีนี้จะเปิดได้ประมาณ
2-3 สาขา โดยเปิดเป็นลักษณะร้านสแตนอโลนเช่นเดียวกับสาขาแรกที่สีลม ขณะเดียวกันก็กำลังออกแบบร้านซึ่งเป็นลักษณะคิออส
หรือหน่วยโมบายเคลื่อนที่ที่จะเจาะเข้าไปในทุกจุดที่เป็นย่านชุมชน"
ทั้งนี้และทั้งนั้น การขยายตัวของมิลค์ พลัสจะไปได้ไกลสักแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความนิยมของผู้บริโภค
รวมทั้งการรักษามาตรฐานคุณภาพของสินค้าให้คงไว้ตลอดไป เพราะในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้
การจับจ่ายเงินทุกบาททุกสตางค์จะต้องเป็นไปอย่างคุ้มค่า ซึ่งมิลค์ พลัสก็ค่อนข้างจะโชคดีที่อยู่ในกลุ่มอาหารที่ให้คุณค่า
ถือเป็นทางเลือกหนึ่งให้กับผู้บริโภค และ...วันนี้คุณดื่มนมแล้วหรือยัง...