|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
"คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม" เตรียมปรับวิธีดำเนินการให้รายได้เข้าเป้าหลังจากผลประกอบการครึ่งปีแรกพลาด เป้า 3-4% ระบุสาเหตุจาก 3 ปัจจัยหลัก น้ำมันแพง-ไข้หวัดนก-ก่อการร้าย พร้อมปรับประมาณการเศรษฐกิจทั้งปีขยายตัวไม่เกิน 6% เชื่อมั่นอานิสงส์เลือกตั้งใหญ่ ปี 48 ช่วยพยุงเศรษฐกิจโตต่อเนื่องได้ คาดผลประชุมเฟดวันนี้มีลุ้นปรับดอกเบี้ยเพิ่ม 0.25%
คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เปิดเผยว่า ในช่วงปลายเดือนส.ค.นี้ธนาคารจะเรียกประชุมกรรมการธนาคารเพื่อเตรียมปรับวิธีดำเนินงานเพื่อให้เป้ารายได้ของธนาคารเป็นไปตามที่ตั้งไว้ หลังจากที่ผลประกอบการของธนาคารในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ออกมาต่ำกว่าที่ธนาคารได้ประมาณการไว้เดิม 3-4% ซึ่งในบางกลุ่มที่มีผลประกอบการต่ำกว่าเป้าหมายก็ต้อง มีการปรับปรุงต่อไป
ทั้งนี้ ในช่วงที่ธนาคารทำแผนธุรกิจเมื่อปลายปีที่ผ่านมานั้นธนาคารได้ตั้งเป้าหมายไว้สูงมาก และไม่ได้นำปัจจัยลบต่างๆ เช่น เรื่องไข้หวัดนก ราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการก่อการร้ายมาประกอบการวางแผนธุรกิจ ซึ่งสถานการณ์ในปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก จึงทำให้ผลประกอบการที่ออกมาในครึ่งปีแรกไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ธนาคารตั้งไว้
"ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมตัวเลข ซึ่งเป้าหมายประมาณการรายได้ในต้นปีอาจจะสูงเกินไป ซึ่งบางตัวทำได้ดีกว่าเป้า และบางตัวทำได้น้อยกว่าคาด แต่ธนาคารก็จะไม่ปรับลดเป้าหมายรายได้ลง แต่จะพยายามหาวิธีการในการเพิ่มรายได้ขึ้น" คุณหญิงชฎา กล่าว
กลุ่มธุรกิจที่ทำให้รายได้ของธนาคารไม่เป็นไปตามเป้าหมายนั้น ส่วนใหญ่มาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ 2.8% แต่ในครึ่งปีแรกทำได้ 2.6% ทั้งนี้เป็นผลมาจากรายได้ดอกเบี้ยที่ต่ำเนื่องจากการปล่อยสินเชื่อใหม่ของธนาคารส่วนใหญ่เป็นเงินหมุนเวียนใน ธุรกิจ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับ ที่ต่ำ นอกจากนี้ธนาคารยังมีภาระเงินฝากที่สูงกว่าสินเชื่อถึง 100,000 ล้านบาท ทำให้ธนาคารต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยในระดับที่สูง แต่อย่างไรก็ตาม ภายในปีนี้รายได้จากดอกเบี้ยสุทธิก็ต้องไม่ต่ำกว่า 2.6%
อย่างไรก็ตาม การทบทวนรายได้ของธนาคารจะยังไม่มีการปรับลดลง แต่จะเป็นการหาวิธีการเพื่อเพิ่มรายได้ของธนาคารให้มากขึ้น เช่น เมื่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเป็นทิศทางปรับเพิ่มขึ้น วิธีการกำหนดอัตรา ดอกเบี้ยจะไม่กำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3-5 ปี ดังเช่นที่ผ่านมา ที่น่าจะเป็นไปได้หลังจากนี้น่าจะเป็นการคงอัตราดอกเบี้ยในระยะสั้นเพื่อทำโปรโมชันดึงดูดลูกค้าเท่านั้นซึ่งไม่น่าจะเกิน 1 ปีเท่านั้น ทั้งนี้ ปัจจุบัน ธนาคารมีรายได้ที่มาจากอัตราดอกเบี้ยในสัดส่วน 65% และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย 35%
"ในช่วงก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 นั้น ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของระบบสูงถึง 4.5-5% แต่เราไม่คงไม่คาดหวังว่าจะให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสูง ถึงระดับนั้นอีกแล้ว แต่คงจะดีขึ้นกว่าในปัจจุบัน ซึ่งส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยนี้ถือว่าลดลงทั้งระบบ ไม่ใช่ของธนาคารไทยพาณิชย์เพียงแห่งเดียวจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด" คุณหญิงชฎา กล่าว
สำหรับในช่วง 6 เดือนแรกของปีที่ผ่านมา เงินฝากของธนาคารปรับเพิ่มขึ้น 5% ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติเนื่องจากธนาคารไม่สามารถปฏิเสธการฝากเงินของลูกค้าได้ ส่วนสินเชื่อนั้นเพิ่มขึ้นประมาณ 10% แต่ในบางภาคธุรกิจธนาคารปล่อยสินเชื่อได้ต่ำกว่าเป้าหมาย เช่น สินเชื่อส่วนบุคคลสามารถปล่อยสินเชื่อได้ต่ำกว่าเป้าเล็กน้อย โดยในปัจจุบันสามารถปล่อยสินเชื่อส่วนนี้ได้ 14% แต่สิ่งที่ไม่เป็นตามคาดคือส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย หรือสเปรด ซึ่งธนาคารกำลังหามาตรการอย่างเร่งด่วน โดยศึกษารายละเอียดของสินเชื่อว่ามีการกำหนดโครงสร้างดอกเบี้ยไว้อย่างไรด้วย รวมถึงใช้กลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียม
คุณหญิงชฎากล่าวว่า ทิศทางเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังไม่น่าจะมีการขยายตัวในอัตราที่สูงอย่างที่หลายฝ่ายได้มีการคาดการณ์ เนื่องจากเศรษฐกิจในปีนี้มีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างเข้ามากระทบ เช่น ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยยังไม่มีแนวโน้มที่จะปรับลดลง การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของต่างประเทศและในประเทศ และการก่อการร้าย ทำให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้น่าจะปรับลดลง
ช่วงต้นปีธนาคารได้ประมาณการการเติบโต ของเศรษฐกิจในปีนี้ที่ระดับ 6.5-7.0% และกำลังจะมีการทบทวนประมาณการการขยายตัวลดโดยคาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้น่าจะมีการขยายตัวในอัตราประมาณ ต่ำกว่า 6.0% อย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะมีการเติบโตที่ลดลง แต่หากเศรษฐกิจมีการขยายตัวในอัตราที่มากกว่า 5% ก็ถือว่าเป็นการ เติบโตที่น่าพอใจ ซึ่งระดับราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มกว่า 44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล นั้น ทำให้ประชาชนเกิดความ ระมัดระวังในการใช้จ่ายมากกว่าเดิม
"เศรษฐกิจของไทยยังมีการเติบโตในระดับที่ใช้ได้ โดยหากมีการเติบโตได้มากกว่า 5% ขึ้นไปก็พอที่จะทำมาหากินและกระจายรายได้ได้ดีขึ้น นอกจากนี้ในช่วงครึ่งปีหลังเป็นช่วงของการหาเสียงเลือกตั้งก่อนการเลือกตั้งจริงในช่วงต้นปี 48 น่าจะส่งผลให้การบริโภคในประเทศมีการขยายตัวในระดับที่น่าพอใจ" คุณหญิงชฎา กล่าว
ส่วนการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดในวันนี้ (10 ส.ค.) ในขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินสถานการณ์ได้ชัดเจนนัก โดยในช่วงก่อนหน้านี้มีแนวโน้มว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 0.25% แต่เนื่องจากมีตัวเลขที่เป็นลบเข้ามากระทบมากในระยะนี้จึงต้องจับตามองดูอย่างใกล้ชิด
"แบงก์ชาติต้องคอยติดตามเรื่องอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นและอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด เฝ้าระวังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม หากความแตกต่างของดอกเบี้ยของในประเทศและต่างประเทศสูงถึง 0.50% ก็อาจส่งผลกระทบต่อเงินทุนของประเทศอย่างแน่นอน" คุณหญิงชฎากล่าว
|
|
 |
|
|