ยนตรกิจ กรุ๊ป บนเส้นทางที่หนักหนาตลอด 35 ปีในการขายบีเอ็มดับบลิว มาวันนี้ทายาทผู้สืบสานอาจต้องเด็ดขาด
และเก็บไว้เป็นอดีต โฟล์กสวาเก้น จะเป็นตำนานหน้าใหม่ที่ต้องเริ่มสร้าง ถ้ามัวแต่รอ
ยนตรกิจ กรุ๊ป อาจเหลือเพียงความทรงจำ จับตาการตัดสินใจครั้งสำคัญของยนตรกิจ
กรุ๊ป
วามว่างเปล่า การรอคอยกับความเด็ดขาด
มีเพียงสามคำเท่านั้น สำหรับอาณาจักรรถยนต์ยุโรปที่ยิ่งใหญ่ของเมืองไทยอย่าง
ยนตรกิจ กรุ๊ป
ยนตรกิจ กรุ๊ป ในปัจจุบันได้ ค้ารถยนต์อยู่ 6 ยี่ห้อ คือ บีเอ็มดับ บลิว,
เปอโยต์, ซีตรอง, โฟล์กสวาเก้น, ออดี้, และเซียท ซึ่ง 3 ยี่ห้อหลังถือเป็นรถยนต์ในกลุ่มโฟล์กฯ
การค้ารถยนต์ยุโรปที่มีมากถึง 6 ยี่ห้อ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับยนตรกิจ
กรุ๊ป
แต่ที่จริงอาจกล่าวได้ว่าตลอดกว่า 30 ปีด้วยซ้ำที่นโยบายการค้าหลายหลากยี่ห้อ
เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างอาณาจักรยนตรกิจให้โด่งดังและยิ่งใหญ่
นโยบายเมื่อครั้ง 30 ปีที่แล้ว ดำเนินเรื่อยมา ขยายวงกว้างขึ้น แต่เมื่อมาถึงวันนี้
ทายาทผู้สืบสานจะต้องหากลวิธีเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ที่ยนตรกิจ กรุ๊ป กำลังเผชิญอยู่
ปัญหาใหญ่ ของยนตรกิจ กรุ๊ป ในช่วงเวลานี้ ก็คือ จะหาทางออกอย่างไร กับแนวโน้มการเข้ามาของบริษัทรถยนต์ต้นสังกัดอย่าง
บีเอ็มดับบลิว และโฟล์ก สวาเก้น
จะทำอย่างไรเพื่อให้รถยนต์ในเครือที่มีอยู่ตอนนี้สามารถจำหน่ายออก ไปได้บ้าง
และจะเอายังไงกับนโยบายการรวม การแยกยี่ห้อ
ซึ่งปัญหาเหล่านี้ กำลังกัดกร่อนฐานรากของยนตรกิจ กรุ๊ป ให้พังทลายลงทุกวัน
และไร้ซึ่งอนาคต
เพราะทุกวันนี้ ดูเหมือนว่า ยนตรกิจ กรุ๊ป ไม่อาจกำหนดทิศทางได้เลยว่าจะเดินไปอย่างไร
ทางไหน เนื่องจากทุกอย่างยังต้องรอคอย รอความชัดเจน ที่ไม่รู้ว่าเมื่อไร
ยนตรกิจ กรุ๊ป ในสถานการณ์ปัจจุบัน ก็ไม่ต่างอะไรกับบริษัทนำเข้ารถยนต์อิสระรายย่อยทั่วไป
ที่รอแต่ออร์เดอร์ไปวันๆ เท่านั้น
ปลายปี 2539 เบรินด์ พิชเชท-สไรเดอร์ ประธานกรรมการบริหาร บีเอ็มดับบลิว
เอจี แห่งเยอรมนี ได้ลงทุนเดินทางด้วยตนเองเพื่อร่วมตกลงเปิดบริษัทร่วมทุนระหว่างยนตรกิจ
กรุ๊ป กับบีเอ็มดับบลิว เอจี
ครั้งนั้นนับเป็นเหตุการณ์ที่ฮือฮาที่สุดในช่วง 35 ปี นับตั้งแต่ยนตรกิจ
ได้เริ่มต้นการจำหน่ายรถยนต์บีเอ็มดับบลิวในไทย
แต่น่าเสียดาย ที่กว่า 1 ปีมาแล้ว การร่วมทุนครั้งประวัติศาสตร์ ยังไม่สามารถหาข้อสรุปในรายละเอียด
ได้ ทั้งโครงสร้างการบริหารงานและการจัดสรรหุ้น
คาร์ล เอช. กาซกา ที่ปรึกษาฝ่ายการตลาดและการขายจากบีเอ็มดับ บลิว เอจี
เยอรมนี เคยกล่าวอย่างมั่นใจว่า การเจรจาในรายละเอียดของการร่วมทุนครั้งนั้นจะสามารถสรุปผลเสร็จสิ้นภายในปี
2540 อย่างแน่นอน
แต่จนแล้วจนรอด รูปธรรมก็ยังไม่เกิดขึ้น จนกระทั่งล่าสุด กาซกา ซึ่งเข้ามาประสานงานในเกือบทุกเรื่องระหว่างยนตรกิจกับบีเอ็มดับบลิว
เอจี ทั้งภาคการผลิตและการตลาด เป็นเวลากว่า 2 ปี ก็ได้หมดวาระลง ยิ่งกว่านั้น
ระหว่างนี้ทางบีเอ็มดับบลิว เอจี ก็ยังไม่ส่งผู้บริหารคนใดเข้ามาสานงานต่อ
ซึ่งจะว่าไปแล้วนับว่าเป็นเรื่องผิดวิสัยมาก
ฐิติกร ลีนุตพงษ์ ทายาทคนหนึ่งของยนตรกิจ กรุ๊ป ซึ่งดูแลงานในส่วนของ บีเอ็มดับบลิว
ปฏิเสธที่จะกล่าวถึงความคืบหน้าของการเจรจาร่วมทุนระหว่างบีเอ็มดับบลิว เอจี
กับ กลุ่มยนตรกิจ โดยอ้างว่าเรื่องยังอยู่ระหว่างพิจารณาและยังไม่ถึงเวลา
แต่ก็ย้ำว่าการหมดวาระของกาซกา ไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับยนตรกิจ กรุ๊ป
เช่นเดียวกับ บุญฤทธิ์ ผ่องเมฆินทร์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดของ ไทยยานยนตร์
หนึ่งในเครือข่ายยนตรกิจ ที่รับหน้าที่จำหน่ายบีเอ็มดับบลิว ที่กล่าวว่า
การหมดวาระของ กาซกา และยังไม่มีคนใหม่เข้ามาแทนไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เพราะเดิมทียนตรกิจ
ก็ประสานงานกับทางบีเอ็มดับบลิว สิงคโปร์ซึ่งถือเป็นสำนักงานระดับภูมิภาคของบีเอ็มดับบลิว
เอจี อยู่แล้ว และหลังจากนี้ระหว่างที่ยังไม่มีตัวแทนมาอยู่ในไทย ทางยนตรกิจก็จะกลับไปประสานงานกับทางสิงคโปร์เช่นเดิม
สำหรับความคืบหน้าการร่วมทุนระหว่างยนตรกิจกับบีเอ็มดับบลิวนั้น บุญฤทธิ์กล่าวว่า
เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวยเลยสะดุดลง และต้องมาคิดกันใหม่ว่าจะเอาอย่างไร
อย่างไรก็ดี บุญฤทธิ์ เลี่ยงที่จะกล่าวถึงกรณีนี้ โดยอ้างว่า นับจากมกราคมที่ผ่านมา
ตนเองได้โอนย้ายการบริหารงานจากการดูแลบีเอ็มดับบลิว มาเป็นการดูแลแผนงานการจำหน่ายโฟล์กสวาเก้นแทน
ในประเด็นการโอนย้ายงานนั้น เป็นอีกส่วนหนึ่งที่น่าจับตามองการบริหารงานของเครือข่ายยนตรกิจอย่างมาก
อย่างกรณี ของบุญฤทธิ์ ที่ถือเป็นผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่ง ซึ่งเขาอ้างว่า
ได้โอนย้ายงานมายังบริษัท ยนตรกิจ อินเตอร์เซลส์ จำกัด เพื่อดูแลการจำหน่ายโฟล์กสวาเก้น
ตั้งแต่มกราคม 2541 ที่ผ่านมา แต่ล่าสุดเอกสารข่าวเมื่อไม่กี่วันมานี้ ระบุชัดเจนว่า
บุญฤทธิ์ ยังดำรงตำแหน่งอยู่ที่ไทยยานยนตร์
นอกจากกรณีของ บุญฤทธิ์ แล้ว ยังมีอีกหลายกรณีและหลายระดับชั้น ที่บ่งบอกว่า
เครือข่ายยนตรกิจกำลังเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารอีกครั้ง โดยแหล่งข่าวยืนยันว่ามีแนวโน้มอย่างมากที่จะกลับไปสู่รูปแบบเดิม
ซึ่งก็คือ การรวมการบริหารงานเข้าไว้ที่ส่วนกลาง ไม่จำเป็นต้องแยกยี่ห้อ
ซึ่งความเป็นไปได้นี้อาจขยายวงไปถึงการกลับมารวมโชว์รูมในการทำตลาดรถยนต์ทั้ง
6 ยี่ห้ออีกครั้ง
บุญฤทธิ์ กล่าวถึงการกลับมารวมศูนย์ว่าเป็นแค่เพียงการรวมสถานที่การทำงานเท่านั้น
ทั้งนี้ก็เพื่อลดต้นทุนในการบริหารงานเท่าที่จะทำได้ แต่ในส่วนของบุคลากร
หรือเรื่องของโชว์รูมก็ยังแยกกันตามเดิม ยังไม่มีการกลับมารวมกัน
อย่างไรก็ดี บุญฤทธิ์ กล่าวถึง โชว์รูมในส่วนของดีลเลอร์ในเขตต่างจังหวัดว่า
การแยกโชว์รูมในแต่ละยี่ห้อนั้น คงไม่สามารถกระทำได้ เพราะเป็นวัฒนธรรมที่มีมาเนิ่นนานแล้ว
และถ้าแยกดีลเลอร์เหล่านั้นคงอยู่ไม่ได้
ทั้งนี้ประเด็นดีลเลอร์ต่างจังหวัดนั้น เมื่อเดือนกันยายน 2538 ในครั้งที่ยนตรกิจ
กรุ๊ป ยกเลิกนโยบายพึ่งพากันของรถยนต์ทั้ง 7 ยี่ห้อในเครือ (ครั้งนั้นยังเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์
ฟอร์ด) ในการทำตลาด โดยสามารถใช้โชว์รูมและศูนย์บริการรวมกันได้ ซึ่งเรียกว่า
"มัลติแบรนด์" โดยยนตรกิจ กรุ๊ป ได้วางแผนและประกาศการจัดรวมกลุ่มรถยนต์ในเครือเสียใหม่
โดยแยกเป็นกลุ่มเอ ที่มีโฟล์กสวาเก้น, ออดี้ และเซียท และกลุ่มบีเป็น บีเอ็ม
ดับบลิว, ฟอร์ด, เปอโยต์, และซีตรอง โดยหวังผลในระยะยาว ที่การแยกแต่ละยี่ห้อออกจากกันอย่างชัดเจนในอนาคต
และไม่เว้นแม้แต่ดีลเลอร์ที่อยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัดด้วย
ดังนั้นคำกล่าวครั้งล่าสุดของบุญฤทธิ์ เกี่ยวกับดีลเลอร์ต่างจังหวัดจึงนับว่ามีนัยสำคัญไม่น้อย
แหล่งข่าวกล่าวว่า เหตุผลที่ยนตรกิจ กรุ๊ป จะยกเลิกการแบ่งสายของรถยนต์ในเครือ
แล้วกลับมารวมกันใหม่นั้นมีอยู่ 2 เหตุผลหลักด้วยกัน
ประการแรก ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา นโยบายการแบ่งแยกยี่ห้อไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้มากนัก
และไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยเฉพาะในส่วนของต่างจังหวัดแทบไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
นอกจากนี้ต้นทุนในการดำเนินการกลับถีบตัวสูงขึ้น ขณะที่ผลประกอบการย่ำแย่ลง
ซึ่งอาจเพราะสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศที่ช่วยย้ำความล้มเหลวให้ชัดเจนขึ้น
ประการที่สอง ในอนาคตอันใกล้ การรวมหรือแยกยี่ห้อไม่น่าจะมีผลในทางปฏิบัติแล้ว
เพราะขณะนี้ ยนตรกิจ กรุ๊ป กำลังพิจารณาอย่างถ่องแท้ เพื่อที่จะตัดสินใจขั้นเด็ดขาดในการเลือกจำหน่ายรถยนต์เพียงกลุ่มเดียว
ซึ่งเป็นเรื่องที่อาจคาดเดาไม่ยากว่าจะเป็นกลุ่มใด
ทั้งนี้จากการโอนย้ายผู้บริหารจากฟาก บีเอ็มดับบลิว มาร่วมวางแผนงานในกลุ่มโฟล์กสวาเก้นที่เข้มข้นขึ้น
หรือการเตรียมไลน์ประกอบทั้งโฟล์กสวาเก้น และออดี้ หรือกระทั่งการหยุดการประกอบบีเอ็มดับบลิว
แม้จะอ้างว่ารถยนต์บีเอ็มดับบลิวที่ประกอบออกมาล้นสต็อกอยู่มากก็ตาม นอกจากนี้การจำหน่ายรถยนต์เปอโยต์
และซีตรองนั้นได้ถูกโอนย้ายมาเป็นเพียงส่วนงานย่อยของไทยยานยนตร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
กิตติ มาไพศาลสิน กรรมการบริหารของยนตรกิจ กล่าวว่าความช่วยเหลือจากโฟล์กสวาเก้น
กรุ๊ป ในเรื่องของต้นทุนราคานั้นมีระยะเวลาจำกัด ดังนั้นหากยนตรกิจไม่มีแผนประกอบรถขึ้นในประเทศ
บริษัทแม่ก็คงไม่สามารถช่วยได้ตลอดไป
ทั้งนี้ยนตรกิจ กรุ๊ป ได้กำหนดที่จะเริ่มทำการประกอบรถยนต์ในกลุ่ม โฟล์กสวาเก้นไว้
3 รุ่น ด้วยกัน คือออดี้ เอ 4, เอ 6 และโฟล์กสวาเกน พาสสาท โดยจะเริ่มขึ้นในปลายปี
2541 นี้
"จนถึงเวลานี้ คนจากเยอรมนีได้เข้ามาช่วยเตรียมไลน์การผลิตกันอย่างเต็มที่
แน่นอนว่าหลังมีไลน์ประกอบในประเทศ การทำตลาดจะเน้นรถประกอบในประเทศแทน ขณะเดียวกัน
การนำเข้ายังมีอยู่สำหรับรุ่นพิเศษที่มีคนต้องการ นอกจากนั้น เรากำลังศึกษาที่จะประกอบเซียท
คอร์โดบาอีกรุ่น เพราะจากการสำรวจพบว่ายังมีความต้องการในตลาดสูง และคอร์โดบา
ยังเป็นรถที่มีอนาคตอีกรุ่นหนึ่ง"
แต่แผนการประกอบรถยนต์ใน กลุ่มโฟล์กสวาเก้น ที่อาจจะมีขึ้นในประเทศไทยนั้น
ยังไม่ง่ายทีเดียว เพราะยังมีปัจจัยที่สำคัญมาเกี่ยวข้องซึ่งก็คือ การยกเลิกการบังคับใช้ชิ้นส่วนในประเทศ
แหล่งข่าวกล่าวว่า ถ้าการยกเลิกการบังคับใช้ชิ้นส่วนเกิดขึ้นจริง การเริ่มต้นการประกอบก็จะง่ายขึ้น
เพราะอาจสามารถนำเข้าชิ้นส่วนมาประกอบได้ทันที แต่ถ้าการยกเลิกต้องเลื่อนออกไป
แผนการประกอบก็ต้องพิจารณาให้ละเอียดยิ่งขึ้น เพราะต้นทุนดำเนินการจะสูงขึ้น
และจะยุ่งยากมากขึ้นในการหาผู้ผลิตชิ้นส่วนที่มีคุณภาพตามมาตรฐานโฟล์กสวาเก้น
มาผลิตป้อนให้โรงประกอบ
อย่างไรก็ดี การขยายสู่การประกอบรถยนต์ในกลุ่มโฟล์กสวาเก้นในไทยนั้น ยนตรกิจก็ยังคงต้องรอการเจรจาในรายละเอียดอีกพอสมควร
เพราะมีแนวโน้มว่า โฟล์กสวาเก้นจะเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินกิจการในไทยมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
เนื่องจากไทยเป็นพื้นที่หนึ่งในแผนการรุกสู่เอเชียของโฟล์กสวาเก้น ดังนั้นการเจรจาต่อรองในการร่วมมือตรงนี้
ยนตรกิจ กรุ๊ป จะต้องรอบคอบและตามเกมให้ทันพอสมควร ไม่เช่นนั้นอาจยืดเยื้อและส่อเค้าล้มเหลวเหมือนกรณีของบีเอ็มดับ
บลิวก็ได้
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นอีก ยนตรกิจ กรุ๊ป จะไม่สามารถกำหนดทิศทางอะไรได้เลยในการค้ารถยนต์ในไทย
แม้จะมีถึง 6 ยี่ห้อในมือ แต่ก็เหมือนกับมีแต่ความว่างเปล่า
สถานการณ์กำลังบีบให้เครือข่ายแห่งนี้ต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ และยิ่งใหญ่กว่าเมื่อครั้งจะร่วมทุนกับบีเอ็ม
ดับบลิวเสียแล้ว
เพราะอย่างไรเสียวันหนึ่งข้างหนึ่ง ยนตรกิจ กรุ๊ป ก็ไม่อาจหลีกพ้นการเหลือเพียงกลุ่มรถยนต์เดียวในการทำตลาดในเมืองไทย
ดังนั้นการเลือกโฟล์กสวาเก้นที่มีมากหลายยี่ห้อน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในขณะนี้
อีกทั้งยังเป็นการแสดงถึงศักดิ์ศรีของยนตรกิจ ให้บีเอ็มดับบลิว เอจี ได้รับรู้
โทษฐานที่ตัดสายสัมพันธ์ซึ่งมีมาเก่าแก่ถึงกว่า 30 ปีอย่างไร้เยื่อใย แต่นึกแล้วก็น่าเสียดายไม่น้อยสำหรับยนตรกิจ
กรุ๊ปเอง เพราะเป็นผู้ที่สร้างตำนานบีเอ็มดับบลิวในไทยมากับมือ
แต่ถ้ายนตรกิจ กรุ๊ป ยังคงรอคอย และแบกรับสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับ
6 ยี่ห้อ 4 กลุ่มบริษัทอยู่ต่อไป สถานการณ์โดยรวมก็น่าที่จะยิ่งเลวร้ายลงไปอีก
และเมื่อถึงที่สุดแล้ว อาจไม่มีใครเห็นหัวยนตรกิจ กรุ๊ป เหมือนเมื่อครั้งที่ฟอร์ดจากอเมริกาได้กระทำไปแล้วก็ได้
ทายาทผู้สืบสานอาณาจักร คงต้องลบรอยเท้าแห่งอดีตเสียแล้ว ไม่เช่นนั้น ยนตรกิจ
กรุ๊ป คงเหลือเพียงชื่อเท่านั้น