|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"โสภาวดี" ประธานศูนย์ระดมทุนระบุเกณฑ์รับหลักทรัพย์ใหม่ติดรอสรรพากรตีความภาษีหลังขยายทุนจดทะเบียน แต่อย่างไรก็ตาม คาดสิ้นปีเกณฑ์ใหม่คลอด ด้านบ.เซจฯที่ปรึกษาทางการเงิน มองเกณฑ์ใหม่ทำให้ขายหุ้นลำบาก MAI ส่วนบล.ไซรัส มองสภาพคล่องหุ้นน้อย ทำให้ความน่าสนใจน้อยลง แต่ย้ำปีนี้พร้อมนำ 2 บริษัทเข้าเอ็มเอไอ
นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย ประธานศูนย์ระดมทุนตลาดหลักทรัพย์ใหม่ เปิดเผยว่า เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (6 ส.ค.) ที่ประชุมคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯได้เลื่อนการพิจารณาการแก้ไขเกณฑ์การรับหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนในตลาดเอ็มเอไอ (MAI) และตลาด หลักทรัพย์ใหญ่ (SET) ออกไปจากเดิมที่เคยมีข่าวว่าจะพิจารณาเรื่องดังกล่าวภายในเดือนนี้
โดยจะเลื่อนไปในการประชุมครั้งต่อไปในเดือนก.ย.นี้ทั้งนี้เพราะยังติดปัญหาเรื่องการตีความสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับบริษัทที่มีทุนจดทะเบียนระหว่าง 200-300 ล้านบาท ว่าจะกำหนดระดับการเสียภาษีในอัตราเท่าไหร่ แม้ว่าทางตลาดหลักทรัพย์จะเสนอให้แบ่งสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามฐานทุนจดทะเบียนก็ตาม
แต่ทางคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯต้องการให้ตีความเรื่องดังกล่าวให้ชัดเจนเพราะเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นเรื่องตามกฤษฎีกาภาษีซึ่งทางคณะกรรมการได้เสนอให้ทางตลาดหลักทรัพย์ไปหารือกับกรมสรรพากรอีกครั้งก่อน
"การตีความในเรื่องดังกล่าว อาจจะแยกประเภทของการเสียภาษี เป็นแบบการแบ่งตามการจดทะเบียน หรือการแบ่งตามทุนจดทะเบียนของบริษัท แต่เรื่องดังกล่าวจะไม่นำไปใช้กับบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว จะเป็นการใช้เกณฑ์กับบริษัทใหม่ที่จะจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ใหม่" นางสาวโสภาวดีกล่าว
แต่อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการได้พิจารณาเห็นชอบเรื่องการแก้ไขขยายขนาดของทุนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่และตลาดหลักทรัพย์ฯโดยบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่จะต้องมีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท แต่ต้องไม่เกิน 300 ล้านบาทขณะที่บริษัทที่จดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์ฯต้องมีทุนจดทะเบียนตั้งแต่ 300 ล้านบาทขึ้นไป
ส่วนเรื่องผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดเอ็มเอไอยังต้องมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 2 ปี และมีผลการดำเนินงานกำไร นอกจากนี้ยังได้เพิ่มเติมเกณฑ์ การรับหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนในตลาด MAI โดยใช้ขนาดของมาร์เกตแคปเป็นเกณฑ์ในการรับหลักทรัพย์ หากบริษัทใดมีมาร์เกต แคป 1.5 พันล้านบาท จะพิจารณาผลการดำเนินงานย้อนหลังเพียง 1ปี ทั้งนี้เพื่อให้บริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่มีความสามารถในการดำเนินธุรกิจแต่มีผลการดำเนินงานไม่ถึง 1 ปี มีโอกาสในการเข้าระดมทุนในตลาด หลักทรัพย์
ด้านบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) จะต้องมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี และมีกำไรติดต่อกัน ทั้งนี้ การแก้ไขเรื่องเกณฑ์การรับหลักทรัพย์จะไม่มี ผลย้อนหลังกับบริษัทจดทะเบียนเดิม โดยจะบังคับใช้กับบริษัทจดทะเบียน ที่เข้ามาในปี 2548 ทั้งนี้ คาดว่าการแก้ไขเกณฑ์การรับหลักทรัพย์ดังกล่าวจะเสร็จเรียบร้อยสามารถกำหนดเป็นเกณฑ์ได้ในสิ้นปีนี้
นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์ ไซรัส จำกัด เปิดเผยว่าการที่ตลาดหลักทรัพย์จะมีการปรับเกณฑ์การรับหลักทรัพย์ใหม่ทั้งในส่วนของตลาดหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ใหม่ (MAI) นั้นโดยในส่วนของเกณฑ์ตลาดเอ็มเอไอที่จะปรับในส่วนของทุนจดทะเบียนจากเดิม 40 ล้านบาทเหลือ 20 ล้านบาทนั้น ทำ ให้มีบริษัทขนาดเล็กเข้ามาจดทะเบียนในตลาดเอ็มเอไอมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การเป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีขนาดเล็กอาจจะส่งผลในแง่ของสภาพคล่องที่มีไม่มากนักซึ่งอาจจะส่งผลกระทบทำให้ความน่าสนใจของนักลงทุนที่มีต่อหุ้นในตลาดเอ็มเอไอน้อยลงได้
"ขณะนี้ยังไม่รู้รายละเอียดว่า เกณฑ์ใหม่ที่จะรับหุ้นเข้าตลาดเอ็มเอไอเป็นอย่างไร แต่เท่าที่พอรู้ในแง่ของทุนจดทะเบียนที่ปรับลดลงจากเดิม 40 ล้านบาทเหลือ 20 ล้านบาท ซึ่งเดิมจำนวน 40 ล้านบาท ถือว่าเล็กแล้ว ซึ่งถ้าเหลือ 20 ล้านบาทก็จะทำให้ขนาดหุ้นยิ่งเล็กลงไป อีกซึ่งจะยิ่งทำให้หุ้นมีสภาพคล่องน้อยลงอีกด้วย" นายสมภพกล่าว
นอกจากนี้ การเป็นหุ้นขนาดเล็กมากจะทำให้หาบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินได้ลำบาก เพราะบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินจะให้ความสนใจไม่มากเนื่องจากได้รับผลตอบแทนในจำนวนที่ไม่สูง
นายสมภพกล่าวว่า สำหรับบล.ไซรัสภายในปีนี้จะมีเป็นที่ปรึกษา ทางการเงินนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดเอ็มเอไอจำนวน 2 บริษัท ซึ่งประกอบด้วย บริษัทพรพรหมเม็ททอล ซึ่งได้ยื่นแบบรายการแสดงข้อมูล (ไฟลิ่ง) ไปยังสำนักงาน คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)แล้วคาดว่าจะสามารถเสนอขายได้ภายในเดือนตุลาคม และอีกบริษัทกำลังเตรียมที่จะยื่นไฟลิ่งซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจทำท่อแอร์ ซึ่งจะเสนอขายหุ้นในปีนี้เช่นเดียวกัน
นายธนาธิป วิทยะสิรินันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซจแคปปิตอล จำกัด กล่าวว่า คาดว่า การที่ตลาดหลักทรัพย์ปรับเกณฑ์การรับหลักทรัพย์ทั้ง 2 ตลาดเพื่อให้เกิดความแตกต่างกันอย่างชัดเจน และทางการคงจะมีวัตถุประสงค์ที่จะส่งเสริมให้ตลาดเอ็มเอไอมีการเติบโตขึ้น เพราะที่ผ่านมาหุ้นในตลาดเอ็มเอไอหลายบริษัทที่มีแนวโน้มที่จะขยายตัวและได้มีการเพิ่มทุนทำให้ทุนจดทะเบียนขึ้นมาอยู่ในระดับ 200 ล้านบาท ดังนั้น จึง ต้องย้ายไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทยหุ้นในตลาดเอ็มเอจึงไม่โดดเด่นเท่าที่ควร
อย่างไรก็ตาม เกณฑ์การรับหลักทรัพย์ใหม่ของตลาดเอ็มเอไอที่กำหนดทุนจดทะเบียนเพียง 20 ล้านบาทเท่านั้นอาจจะทำให้การขาย หุ้นเป็นไปได้ลำบากขึ้นเนื่องจากเป็น หุ้นที่มีขนาดเล็กมากความน่าสนใจจึงมีไม่มากนัก ซึ่งจะแตกต่างจากบริษัทในตลาดหุ้นสหรัฐฯโดยเฉพาะ บริษัทที่เกี่ยวกับไฮเทคโนโลยีซึ่งบริษัทเหล่านี้จะมีทุนจดทะเบียนไม่สูงมากนัก แต่มีแนวโน้มการขยายตัวสูง ดังนั้น ความน่าสนใจจะมีมากกว่า
|
|
|
|
|