ไรมอนแลนด์ พลิกวิกฤต ปรับลดขนาดห้องชุด "เดอะล้อฟเย็นอากาศ" เพิ่มจำนวนยูนิต หลังกำลังซื้อจากลูกค้าชะลอ ผลยอดขายอืด คาดหลังปรับขนาดพื้นที่ จำนวนยูนิตเพิ่มอีกกว่า 70% ดันยอดขายจาก 800 ล้านบาท เป็น 1,000 ล้านบาท พร้อมเปิดตัว 2 โครงการใหม่ ที่ภูเก็ต-พัทยา ตั้งเป้าปี 2548 ยอดขายพุ่งกว่า 3,000 ล้านบาท
นายไนเจิล เจ คอร์นิค กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไรมอนแลนด์ จำกัด (มหาชน) ( RAIMON ) เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับเปลี่ยนขนาดและจำนวนในโครงการเดอะล้อฟ เย็นอากาศ ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม ประกอบด้วยอาคาร 2 หลังเชื่อมต่อกัน จำนวน 65 ยูนิต ราคาเริ่มต้นที่ 5-16 ล้านบาท ซึ่งในการปรับเปลี่ยนขนาดของห้องในโครงการนั้น จะเป็นการ ปรับลดพื้นที่ใช้สอยของทุกยูนิต ให้มีขนาดพื้นที่ใช้สอยน้อยลง เพื่อเพิ่มจำนวนยูนิตให้มากขึ้น โดยมีขนาดพื้นที่ตามแบบการก่อสร้าง เดิมจะมีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 72-384 ตารางเมตร แบ่งเป็น 3 ขนาดคือ ห้องชุดขนาด 1 ห้องนอน มีขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 72 ตารางเมตรขึ้นไป ห้องชุดขนาด 2 ห้องนอน มีขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 140-160 ตารางเมตร และห้องชุดขนาด 3 ห้องนอนพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 300-400 ตารางเมตร
ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนขนาดห้องชุดในโครงการ จะทำให้มีห้องชุดในโครงการเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 70% และจะทำให้มีห้องชุดขนาด 1 ห้องนอน และห้องชุดขนาด 2 ห้องนอนเพิ่มขึ้น โดยห้องชุดขนาด 3 ห้องนอนนั้น จะคงไว้เพียง 4 ห้อง จากเดิมที่มีอยู่ 6 ห้อง อย่างไรก็ตาม หลังจากปรับลด ขนาดห้องแล้วพื้นที่ใช้สอยในห้องชุดขนาด 1 ห้องนอน จะมีพื้นที่ตั้งแต่ 100 ตารางเมตรขึ้นไป ส่วนห้องชุดขนาด 2 ห้องนอน และ 3 ห้องนอนนั้น จะมีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 100 กว่าตารางเมตรขึ้นไป แต่ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงพิจารณาว่า จะกำหนดพื้นที่ใช้สอยของห้องชุดขนาด 2 ห้องนอน และ 3 ห้องนอนว่าจะมีพื้นที่ใช้สอยเท่าใด
นายไนเจิล กล่าวต่อว่า การปรับเปลี่ยนขนาดพื้นที่ใช้สอยในห้องชุดครั้งนี้จะทำให้ โครงการดังกล่าว มีมูลค่าในการขายเพิ่มขึ้นจากเดิม 800 ล้านบาท เป็น 1,000 กว่าล้านบาท เนื่องจากมีจำนวนยูนิตที่เพิ่มขึ้น ส่วนราคาขายนั้นเมื่อมีการปรับลดพื้นที่ลง บริษัทก็ได้มีการปรับลดราคาในการขายต่อ ตารางเมตรลงด้วย โดยจะขายในราคาตารางเมตรละ 60,000 บาทต่อตารางเมตร จากที่เดิมจะขายอยู่ที่ 70,000 บาทต่อตารางเมตร
สำหรับสาเหตุที่ต้องมีการปรับขนาดพื้นที่ใหม่นั้น เนื่องจากเดิมห้องชุด ที่ออกแบบไว้นั้นมีขนาดใหญ่ทำให้มีราคาสูง ซึ่งลูกค้าไม่ค่อยให้ความสนใจ เพราะยุ่งยากต่อการขออนุมัติเงินกู้ในการซื้อจากธนาคาร โดยเฉพาะในยูนิตที่มีราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไปนั้น หากลูกค้าที่ต้องการซื้อห้องชุด หากต้องขออนุมัติเงินกู้จากธนาคารจะสามารถขอกู้ได้เพียง 70% ของราคาเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าลูกค้าจะต้องมีเงินสดอยู่ในมือแล้วอย่างน้อย 30% จึงจะสามารถซื้อห้องชุดได้ 1 ห้อง ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจของลูกค้า ทำให้เกิดการชะลอตัวของยอดขาย
ส่วนลูกค้าที่จองซื้อห้องในโครงการดังกล่าวแล้ว 20% นั้น หากลูกค้ายังยืนยันว่าต้องการห้องชุดขนาดเท่าเดิม บริษัทก็จะคงพื้นที่เท่าเดิมไว้ตามที่ลูกค้าต้องการ แต่ในการปรับเปลี่ยนจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการออกแบบ ดังนั้นระยะเวลาในการก่อสร้างจึงอาจจะต้องยืดออกไป สำหรับลูกค้าที่ต้องการจะยกเลิกกรรมสิทธิ์ในการจองซื้อ ทางบริษัทก็ยินดีจะมอบเงินในส่วนที่มีการจ่ายไปแล้วทั้งหมด 100%
นายไนเจิล กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 522 ล้านบาท ซึ่งในไตรมาส 2/47 บริษัทมีรายได้ 285.87 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 198.84 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากบริษัทรับรู้รายได้จากโครงการเดอะ ล็อฟท์ สาธร และโครงการเดอะเลคส์ อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ในปี 48 ตั้งเป้าผลการดำเนินงาน ก้าวกระโดดคือ 3,000 ล้านบาท เหตุที่รายได้จะก้าวกระโดดอย่างมาก เนื่องจากบริษัทจะรับรู้รายได้จากโครงการ เดอะเลคส์ประมาณ 1,600 ล้านบาท
โดยที่ผ่านมาบริษัท ได้เปิดตัวโครงการใหม่อีก 2 โครงการ ประกอบด้วย โครงการ Katamanda Gardens ภูเก็ต และโครงการ The Northshore พัทยา โดยโครงการแรกนั้นเป็นโครงการคอนโดมิเนียม บนพื้นที่ ประมาณ 5 ไร่ ตั้งอยู่หลังหาดกะตะน้อย จำนวน 33 ยูนิต เป็นห้องชุดแบบ1,2 และ 3 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 108 ตารางเมตร จนถึง 300 ตารางเมตร มูลค่าขายโครงการ 500 ล้านบาท ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นอาคารก่อสร้าง ค้างที่บริษัท ได้เข้าซื้อต่อจาก บริษัท กะตะมานดา การ์เด้น เพื่อพัฒนาเป็นโครงการเกรดเอ คาดว่าจะใช้เงินทุนในการก่อสร้างโครงการทั้งหมดประมาณ 300 ล้านบาท
ส่วนโครงการที่ 2 เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ โครงการ นอร์ทชอร์ ตั้งอยู่บริเวณถนนเลียบหาด พัทยาเหนือ จำนวน 185 ยูนิต แบบ 1,2 และ 3 ห้องนอน โดยมีขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 60-265 ตารางเมตร มีราคาขายอยู่ที่ 55,000-65,000 บาทต่อตารางเมตร โครงการนี้จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในไตรมาสที่ 4 นี้ สำหรับโครงการ นอร์ทชอร์ นี้เป็นโครงการสร้างค้างที่ ทางบริษัทได้เข้าซื้อต่อเพื่อพัฒนา เป็นคอนโดมิเนียมเกรดเอ เพื่อขายรองรับความต้องการของตลาดในพื้นที่
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะพัฒนาโครงการใหม่อีกหนึ่งแห่ง โดยขณะนี้ได้ซื้อที่ดินจำนวน 14 ไร่กว่า ในพื้นที่เหนือ อ่าวกะตะ จังหวัดภูเก็ต โดยบริษัทได้ซื้อที่ดินดังกล่าวต่อจากบริษัท ร่วมฤดี ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด คาดว่าจะใช้พัฒนา เป็นโครงการคอนโดมิเนียม โลว์ไรส์ เพื่อขาย สามารถเริ่มก่อสร้างโครงการนี้ได้ประมาณ ต้นปี 2548 นี้
นายไนเจิล กล่าวถึงกรณี ที่ RAIMON จะย้ายการเทรดจากหมวดรีแฮบโก เข้ามาอยู่ หมวดปกติ ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่าง รอการอนุมัติจากตลาดหลักทรัพย์ (ตลท.) ซึ่งทางบริษัทได้ยื่นเรื่องดังกล่าวให้กับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ไปแล้ว เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าน่าจะสามารถกลับเข้ามาเทรดในหมวดปกติได้ในไม่ช้านี้ เพราะบริษัทสามารถปรับโครงสร้างหนี้แล้วเสร็จ และสามารถทำกำไรได้ 3 ไตรมาสติดต่อกัน ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่ตลท.กำหนด ส่วนราคาหุ้นจะขยับไปที่ระดับที่เหนือกว่าปิดครั้งล่าสุดได้มากน้อยเพียงใดนั้น คงขึ้นอยู่กับภาวะของตลาดหลักทรัพย์ว่าจะผันผวนมากน้อยแค่ไหน
นายกิตติ ตั้งศรีวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการเงิน RAIMON กล่าว ว่าในปี 48 บริษัทมีแผนที่จะลงทุนในโครงการใหม่อีก 2-3 โครงการ ซึ่งหนึ่ง ในโครงการใหม่ จะเป็นการร่วมทุนกับต่างประเทศในสัดส่วน 49 ต่อ 50% ขึ้นอยู่กับข้อตกลงของการดีลกันระหว่างพันธมิตรต่างชาติ คาดจะสรุปข้อสัญญาได้ภายใน 1 เดือน และ ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งโครงการนี้จึงจะเริ่มได้
สำหรับมูลค่าโครงการประมาณ 3 พันล้านบาทในส่วนแรกที่จะเริ่มเปิด โครงการได้ในปี 48 โดยเป็นที่พักอาศัยใจกลางกรุง และถัดจากนั้นไปอีก 2-3 ปี จึงจะเริ่มในส่วนที่สอง จากการลงทุนในโครงการใหม่ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้านั้น คาดสร้างรายได้เข้ามายังบริษัทในช่วงปี 2548-2551 ส่วนโครงการ ที่เป็นขนาดกลางคาดว่าจะมีขึ้นเช่นกัน แต่ยังไม่สรุปรายละเอียดใน ขณะนี้ โดยเงินลงทุนที่จะใช้ เป็นเงินทุนจากการดำเนินงานและกู้บางส่วน ปัจจุบัน RAIMON มีกระแสเงินสดประมาณ 200 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีเงินจากการลงทุนที่จะได้คืนมาจากการขายโครงการในอนาคตอีก ในช่วง 6-9 เดือน ที่จะทำให้เงินสดเข้ามาเพิ่มอีกประมาณเกือบ 500 ล้านบาท
|