|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
BCP กำไรไตรมาส 2 พุ่ง 171% ฟื้นจากขาดทุนเป็นมีกำไร เนื่องจากบริษัททำรายได้รวมได้เกือบ 2 หมื่นล้านบาท ที่สำคัญค่าการกลั่นเพิ่มขึ้น อีกทั้งดอกเบี้ยจ่ายลดลงผลจากการรีไฟแนนซ์หนี้เงินกู้ภายหลังจากที่บริษัทปรับโครงสร้างการเงินเสร็จ
นายวัฒนา โอภานนท์อมตะ รักษาการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานด้านบริหารและเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (BCP) แจ้งผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2547 ซึ่งพบว่าบริษัทพลิกจากขาดทุน เป็นกำไร โดยจากเดิมในงวดนี้ขาดทุน 913.14 ล้านบาท เป็นมีกำไร 647.21 ล้านบาท ส่งผลให้จากที่ขาดทุนต่อหุ้นอยู่ 1.75 บาท เป็นมีกำไร 86 สตางค์ต่อหุ้น หรือเพิ่มขึ้น 171%
เนื่องจากบริษัทมีรายได้รวม 18,297 ล้านบาท มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) +1,003 ล้านบาท มีดอกเบี้ยจ่ายสุทธิ (หักลบดอกเบี้ยรับ) 180 ล้านบาท มีค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย 184 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิ 647 ล้านบาท (ช่วงเดียวกันปี 2546 มีผลขาดทุนสุทธิ 913 ล้านบาท)
โดยผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น เนื่องจากในไตรมาส 2 ปี 2547 ค่าการกลั่น (ไม่รวมผลกำไรจากสต๊อกน้ำมัน) อยู่ที่ระดับ 1.99$/BBL เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันได้ปรับตัวสูงขึ้นตามสภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับบริษัท ได้มีการร่วมมือในกิจกรรมเพิ่มรายได้และลดต้นทุนร่วมกับบริษัทน้ำมันอื่น นอกจากนี้บริษัทฯ ได้เพิ่มปริมาณการกลั่นขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 85 KBD โดยเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 13 KBD แต่ลดลงจากไตรมาส 1 ปี 2547 เนื่องจากบริษัทฯ ได้มีการหยุดซ่อมบำรุงหน่วยกลั่น 2 ขนาด 40 KBD เป็นระยะเวลา 25 วัน
เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2546 ค่าการกลั่น (ไม่รวมผลกำไรจากสต๊อกน้ำมัน) อยู่ที่ระดับ 1.85 $/BBL จากราคาน้ำมันเตาที่ปรับตัวสูงขึ้น อย่างมากตามแรงซื้อจากประเทศญี่ปุ่น เพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้าทดแทนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่หยุดซ่อมแซม ประกอบกับความวิตก ในสถานการณ์สงครามระหว่างสหรัฐฯ และอิรักส่งผลให้ค่าการกลั่นยังอยู่ในระดับสูง
นอกจากนี้ในไตรมาส 2 ปี 2547 บริษัทมีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน (FX & Price Effects) จำนวน 577 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกัน ปี 2546 ที่มีขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันจำนวน 770 ล้านบาท จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงประมาณ 7 $/BBL หลังสงครามระหว่างสหรัฐฯ และอิรักเกิดขึ้น
สำหรับไตรมาส 2 ปี 2547 ค่าการตลาดน้ำมันสำเร็จรูป (ไม่รวมน้ำมันเครื่องบิน) อยู่ที่ระดับ 44 สตางค์/ลิตร ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ระดับ 40สตางค์/ลิตร เป็นผล สืบเนื่องมาจากนโยบายการตรึงราคาน้ำมันของภาครัฐส่งผลให้ค่าการตลาดคงที่ ทั้งนี้ บริษัท มีปริมาณการขายน้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นทุกช่องทางการจำหน่าย เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการปรับเพิ่มขึ้น 6.4% ส่วนปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเตาผ่านตลาดอุตสาหกรรมก็เพิ่มขึ้น 2.8% จากการที่บริษัทฯ ชะลอการจำหน่ายในตลาดขายส่งเพื่อรักษาค่าการตลาดให้อยู่ในระดับสูง ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 304 ล้านบาทลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 24 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายที่ลดลง ประกอบด้วยค่าซ่อมแซม สถานีบริการลดลง 7 ล้านบาท ค่าโฆษณาลดลง 5 ล้านบาทค่าใช้จ่ายภาษีและเบี้ยประกันภัยลดลง 5 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายอื่นๆลดลง 7 ล้านบาท
อีกทั้งในไตรมาส 2 ปี 2547 บริษัทมี ดอกเบี้ยจ่าย 183 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 94 ล้านบาท เป็นผลจากการ Refinance หุ้นกู้เดิมส่วนใหญ่ด้วยเงินทุนใหม่ที่ได้จากการปรับโครงสร้างการเงิน นอกจากนี้ บริษัทฯ มีดอกเบี้ยรับ 3 ล้านบาท ลดลง 5 ล้านบาท จากการที่บริษัทฯ ได้รับวงเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนตามแผนการปรับโครงสร้างการเงิน บริษัทฯ จึงไม่มีความจำเป็นต้องถือเงินสดเป็นจำนวนมาก เพื่อเตรียมไว้ชำระค่าน้ำมันดิบ
|
|
|
|
|