|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ สิงหาคม 2547
|
|
เมื่อไม่กี่วันก่อน ดิฉันได้เวลาสังคายนาพื้นที่ฮาร์ดดิสก์ในคอมพิวเตอร์ ตลอดจนเคลียร์พื้นที่ในแผ่น SD ของกล้องดิจิตอล เพราะตอนนี้ราคาแผ่น SD ที่นี่ยังไม่มีโปรโมชั่นเหมาะๆ จึงไม่น่าซื้อ ทำให้ต้องมานั่งเคลียร์พื้นที่ในคอมพิวเตอร์เพื่อโหลดภาพเก็บ ตามประสามนุษย์โลว์เทก จึงมีโอกาสได้รีวิวภาพต่างๆ ที่ถ่ายเก็บไว้หลายร้อยภาพ มีอยู่จำนวนมากที่ภาพถ่าย รูปครอบครัวน้องชายดิฉันที่บินมาเยี่ยมเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มากัน 3 คน พ่อแม่ลูก คือน้องชายและภรรยา กันน้องลีน่า ลูกสาววัย "4 ขวดค่ะ" (ไม่ได้พิมพ์ผิดแต่เป็นคำตอบที่ได้ยินจากน้องลีน่าตอนมีคนถามอายุเธอ)
ก่อนจะมา พ่อน้องชายตัวดีก็อีเมลแจ้งสถานภาพของตั๋วที่จองอยู่เป็นระยะๆ เนื่องจากตั๋วเต็ม จึงต้องรอ Waiting List ส่วนใหญ่แล้วเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ มาโตรอนโตมักบินมาทางฝั่งแปซิฟิก แล้วแวะจอดที่แวนคูเวอร์ หรือซีแอตเติล หรือซานฟรานฯ หรือแล็กซ์ก็สุดแท้แต่ เอาเป็นว่าไฟลต์จะต้องแวะจอดเมืองท่าฝั่งแปซิฟิกก่อน แล้วค่อยจับเครื่องโดเมสติคบินต่อเข้าโตรอนโต แต่เผอิญเส้นทางการเดินทางครั้งนี้ของพ่อน้องชายตัวดีแปลกกว่าชาวบ้านเขาเล็กน้อย เพราะจะแวะเยี่ยม "อานิด" ซึ่งเป็นคุณอาของภรรยาผู้อยู่ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาด้วย ครอบครัวนี้จึงตีตั๋วบินจาก กรุงเทพฯ-แวนคูเวอร์-นิวยอร์ก แล้วค่อยบินจากนิวยอร์ก เข้าโตรอนโต รูทนี้น้องชายบอกว่าราคาตั๋วไม่แพงเพราะไม่ค่อยมีคนอยากบินจากนิวยอร์ก (ต้องขอขอบคุณบิน ลาเดน)
เที่ยวบินมาถึงโตรอนโตราว 5 โมงเย็นเวลาท้องถิ่น ดิฉันไปรับที่สนามบินเพียร์สัน ซึ่งเป็นสนามบินนานาชาติของโตรอนโต น้องชายบอกว่าไฟลต์จากนิวยอร์กมาโตรอนโตนี่ว่างมากเลยมีอยู่ไม่กี่คนในเครื่อง สงสัยเจ๊งแน่ๆ (เธอมาอเมริกันแอร์ไลน์) ส่วนไฟลต์ที่ออกจากกรุงเทพฯ บินข้ามแปซิฟิกมาสายการบินอีว่า ค่อนข้างเต็มแต่ก็สะดวกสบายดี
เมื่อมาถึงบ้าน พวกเราผู้ใหญ่ก็ทานอาหารเย็นแล้วพักผ่อน เพราะเหนื่อยกับการเดินทางแสนไกลที่ยังไม่ได้หลับเต็มตากันจริงๆ สักที ส่วนน้องลีน่าไม่ต้องพูดถึง พอขึ้นรถที่แอร์พอร์ตก็หลับมาตลอดทางในรถจนถึงบ้านต้องอุ้มเข้ามา และไม่ตื่นเลยจนกระทั่ง 9 โมงเช้าวันรุ่งขึ้น
เช้าวันแรกครอบครัวตัวดีตื่นมาอย่างสดชื่น ที่ห้องครัวได้ยินเสียงน้องลีน่าร้องเพลง "นิ้งหน่องๆ นวลน้องนั้นมาเมื่อไหร่ ทำไมไม่ทักไม่ทาย จำไม่ได้ ฉันชื่อนิ้งหน่อง" ฉันขำกลิ้งเพราะไม่ได้ยินใครร้องเพลงนี้มานานมากแล้ว
"หนูชื่อนิ้งหน่องตั้งแต่เมื่อไหร่" ดิฉันถาม ลีน่ายิ้มอายๆ ไม่ตอบ พ่อน้องชายตัวดีเลยตอบว่า เขาเป็นคนร้องกล่อมน้องลีน่า ตอนอยู่บนเครื่องบิน เพราะดึกแล้วเจ้าหล่อนไม่ยอมเงียบ กวนโยเยตลอด พานจะก่อความรำคาญแก่ผู้โดยสารอื่น พ่อน้องชายร้องไปสารพัด เพลงให้น้องลีน่าฟังก็ไม่เวิร์ก จนปัญญาไม่รู้จะร้องเพลงอะไร พอร้องเพลงนี้ปรากฏลีน่าเงียบฟังอย่างตั้งใจมาก สงสัยจะชอบด้วย เพราะเธอร้องเพลงเองเลย เช้านี้
คณะทัวร์นิ้งหน่องเริ่มออกเดินทางไปเที่ยวทุกวัน หลังจากรับประทานอาหารเช้าที่บ้าน ก่อนจะออกรถจะมีการตระเตรียมน้ำดื่มให้เพียงพอ และอาหารว่างสำหรับเด็ก 4 ขวดเพราะเธออาจหิวและพานโยเยขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ ดิฉันเป็นคนขับรถพาชมเมืองและจุดที่น่าสนใจต่างๆ ในดาวน์ทาวน์ก็พาไปชม CN Tower หอสูงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของโตรอนโต ข้างในก่อนจะขึ้นไปมีการเอกซเรย์ตรวจตามตัวและกระเป๋าอย่างเข้มงวดมาก ผิดกับปี 2002 เมื่อดิฉันมาครั้งก่อน ก่อนเหตุการณ์ 11 กันยา ไม่เห็นมีการตรวจอะไร วันที่ไปชม CN Tower นั้นมีพายุถล่มอย่างหนักจึงไม่ค่อยเห็นวิวมากนัก แต่คณะทัวร์นิ้งหน่องไม่ได้เสียใจอะไรแต่กลับมีความสุขเพราะเคยเห็นภาพ CN Tower จากคู่มือท่องเที่ยวมาเยอะแล้ว แต่กลับไม่เคยเจอพายุหิมะตัวจริงเสียงจริงมาก่อน เมื่อลงมาจากหอสูงก็สนุกสนานกับพายุหิมะกันใหญ่ที่ลานหน้า CN Tower
วันต่อมาพาคณะทัวร์แวะซื้อของกินของใช้ที่จำเป็นเพราะเราอยู่กันในบ้าน จึงเลือกซื้ออาหารสดที่ชอบรับประทานมาปรุงกันเองตามอัธยาศัย รวมทั้งมีประสบการณ์ชอปปิ้งท้องถิ่นด้วย เสร็จแล้วแวะห้างต่างๆ เพื่อเดินดูและซื้อข้าวของที่ถูกใจและเป็นของฝากคนที่เมืองไทย ก่อนกลับบ้านดิฉันเห็นป้ายหน้าปั๊มแจ้งราคาน้ำมันประจำวันถูกดีจึงแวะเติม ซึ่งก็ตามประสาเจ้าบ้านที่ดี ดิฉันได้ให้น้องชายเป็นคนลงไปเติมน้ำมันเพื่อหาประสบการณ์!! ความจริงเธอเก่งอยู่แล้วเพราะเธอเคยเรียนเมืองนอก รู้งานดี
มาแคนาดาแล้วไม่ไปไนแองการา ก็ไม่ถือว่ามาแคนาดา ที่จริงดิฉันเคยตั้งใจไว้นานแล้วว่า จะเขียนเรื่องน้ำตกไนแองการานี้เป็นการเฉพาะหนึ่งตอน เพราะได้เยี่ยมชมน้ำตกนี้รวมแล้ว 6 ครั้ง และครบทั้ง 4 ฤดูกาล คือ ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งล้วนแต่สวยงามไปคนละแบบ การไปมีทั้งแบบไปเช้า กลับเย็น แบบแวะแค่น้ำตกอย่างเดียว และข้ามเข้าไปฝั่งอเมริกา เพื่อดูน้ำตกจากมุมฝั่งตรงข้าม (อันนี้ต้องมีวีซ่าเข้าอเมริกา) และสุดท้ายคือพักโรงแรมชั้นหนึ่งหน้าน้ำตก และกาสิโน นอนดูวิว และฟังเสียงน้ำตกไนแองการาตลอดทั้งคืนอย่างสุขสโมสร บรรยากาศทำให้ดิฉันนึกถึงหลายปีก่อนนานมาแล้ว ที่เคยไปเที่ยวนครนายกกับกลุ่มเพื่อนๆ พักที่วังตะไคร้แล้วนอนฟังเสียงน้ำตกไหลซ่าตลอดทั้งคืน ช่างมีความสุขจริงๆ
วันนี้เอาเพียงสรุปสั้นๆ ว่า พาคณะทัวร์นิ้งหน่องไปเที่ยวไนแองการาแบบเช้าเย็นกลับ ช่วงที่ไปเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิแล้วแต่อากาศยังหนาวเย็น ทำให้ไม่ค่อยมีคนเท่าไรนัก ซึ่งก็ดี เพราะถ่ายรูปวิวน้ำตกได้ง่าย โดยเฉพาะโพสต์ท่าสวยๆ ยืนเดี่ยวกับน้ำตกนี่เยี่ยมมาก ถ้ามาฤดูท่องเที่ยวช่วงเดือนเมษายนถึงตุลาคม โอกาสถ่ายรูปสวยๆ ยากมาก เพราะแออัดล้นหลามไปด้วย ผู้คนที่มาชมความงามของไนแองการา ถ่ายรูปมากี่ใบๆ ก็มีแต่นักท่องเที่ยวอื่นๆ อยู่เป็นแบ็กกราวน์เต็มไปหมดอยู่ร่ำไป หลังจากชื่นชมน้ำตกและละอองน้ำตกจนชื่นใจ แล้วคณะเราก็ตบท้ายรายการด้วยการแวะชอปปิ้งซื้อของที่ระลึกตามระเบียบไทยแลนด์ ไม่ชอป นอนไม่หลับ
วันต่อมา ดิฉันพาคณะไปนั่งรถเที่ยวเลาะทะเลสาบออนตาริโอ (Lake Ontnario) ซึ่งเป็นทะเลสาบใหญ่กั้นจังหวัดออนตาริโอของแคนาดากับรัฐนิวยอร์กของอเมริกา ขับรถไปไม่ไกล เพราะเมืองโตรอนโตอยู่ริมทะเลสาบนี้อยู่แล้ว และมีถนนชื่อเลคเชอร์ (Lake Shore) เป็นถนนที่ยาวนับร้อยกิโลสร้างเลียบทะเลสาบออนตาริโอนี้ การขับรถเลียบทะเลสาบโดยเลาะตามถนนเลคเชอร์นี้ผ่านถึง 4 เมือง คือ เมืองโตรอนโต เมืองมิสซิสซอก้า เมืองโอ๊ควิว และเมืองเบอร์ลิงตัน วิวที่เห็นจึงมีทั้งวิวเมืองโตรอนโต ริมทะเลสาบออนตาริโอ กับวิวชานเมืองที่มีแต่น้ำกับท้องฟ้าของแถบโอ๊ควิวและเบอร์ลิงตัน คณะเราหยุดเที่ยวชม 2-3 จุดที่น่าสนใจ โดยเฉพาะที่โอ๊ควิวมีจุดจอดชมทะเลสาบสวยๆ อยู่หลายแห่ง
หลังจากที่มาเยี่ยมและอยู่เที่ยวนานหลายวัน ชาวคณะนิ้งหน่องทัวร์ก็กลับเมืองไทยด้วยความสุขและเหนื่อยเล็กน้อย เพราะกระเป๋าโตขึ้นปิดไม่ลง ต้องออกแรงกันอยู่พักใหญ่กว่าจะปิดกระเป๋าได้
ก่อนจบวันนี้ก็ขอฝากทิ้งท้ายเพราะเดือนสิงหาคม เป็นเดือนที่มีวันสำคัญคือวันแม่แห่งชาติ ดิฉันจำได้ว่า ตอนอายุ 8 ขวบ สมัยอยู่ต่างจังหวัดเคยไปซนแกล้งกดออดตามบ้านต่างๆ กับน้องสาว พอกดเสร็จก็วิ่งหนีกลับเข้าบ้าน ปล่อยให้พวกเจ้าของบ้านหัวฟัดหัวเหวี่ยง ไม่รู้ใครมากดออดประตู จนมีบ้านหลังหนึ่งแอบจับตาดู วันนั้นเป็นตอนเย็น เมื่อพวกเราวิ่งไปแกล้งกดพอวิ่งหนีกลับเข้าบ้านได้ไม่นาน เจ้าของบ้านหลังนั้นก็เดินมาเคาะประตูบ้านเรา (แน่นอนบ้านเราไม่มีออด) คุณแม่กำลังทำกับข้าวอยู่ เมื่อเปิดประตูรับก็ถูกต่อว่า ว่าลูกสาวเที่ยวไปแกล้งกดออดบ้านคนแถวนี้ไปทั่ว คุณแม่ไม่เชื่อ บอกว่าไม่จริง และปกป้องพวกเราเต็มที่เสร็จแล้วปิดประตูกลับเข้าบ้าน ไม่มาคาดคั้นถามพวกเราให้จนแต้ม แต่อย่างไร เรื่องนี้นานมากแล้ว แต่ดิฉันยังจำมาจนบัดนี้ และจำว่าจะไม่ทำอะไรไม่ดีไม่งามให้พ่อแม่ผิดหวัง
วันแม่ปีนี้ อย่าลืมหาโอกาสไปกราบคุณพ่อคุณแม่นะคะ
สุขสันต์วันแม่ แด่ท่านผู้อ่านทุกท่านค่ะ
|
|
|
|
|