พอเริ่มเข้าหน้าร้อนผลิตภัณฑ์เย็นๆ อย่างไอศกรีมก็เริ่มเคลื่อนไหวออกมาให้เห็นกันแล้ว
ล่าสุดเนสท์เล่ประกาศเดินหน้าแผนงานใหญ่ระยะ 3 ปี ด้วยเงินลงทุนถึง 500 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในเงินลงทุนนี้ ส่วนหนึ่งจะนำมาใช้สำหรับการเพิ่มตู้แช่ให้อยู่ในช่วง
10,000-20,000 ตู้ภายใน 3 ปีนี้ด้วย
และในหน้าร้อนนี้เนสท์เล่ได้วางแผนกระจายสินค้าไว้ค่อนข้างทั่วถึง ทั้งกิจกรรมทางการตลาด
ตั้งแต่การโฆษณาทีวี รายการส่งเสริมการขายผู้บริโภคและร้านค้า รวมทั้งการฝึกอบรมพนักงานขาย
เป้าหมายการรุกครั้งนี้ก็เพื่อหวังขึ้นเป็นอันดับสองด้วยสัดส่วน 20-25 %
จากเดิมที่มีอยู่เพียง 10% เป็นอันดับ 3 ของตลาด ในปีที่แล้วตลาดไอศกรีมมีมูลค่าประมาณ
5.5 พันล้านบาท หรือมากกว่า 100 ล้านลิตร (ตัวเลขจากดีมาร์) โดยมีไอศกรีมวอลล์ครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ
1 ด้วยสัดส่วน 50% และไอศกรีมยูไนเต็ดเป็นอันดับสอง ด้วยสัดส่วน 20%
การเคลื่อนไหวของเนสท์เล่มีมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ด้วยการนำทีมบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ
ทั้งด้านการตลาดและเทคโนโลยีการผลิตไอศกรีม เพื่อมาจัดการระบบบริหารหน่วยธุรกิจ
และรองรับการเปลี่ยนชื่อบริษัทและตราผลิตภัณฑ์จากแดรีฟาร์ม เป็นบริษัท เนสท์เล่
ไอศกรีม (ประเทศไทย) เพื่อดูแลธุรกิจไอศกรีมของเนสท์เล่โดยตรง
ก่อนหน้านี้เนสท์เล่เข้าไปเทกโอเวอร์ธุรกิจไอศกรีมของบริษัท ดักกี้ โพรดิวเซอร์
แดรีฟาร์ม ในเดือนสิงหาคม ปี'38 โดยถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวร่วมกับกลุ่มเอบิโก
โฮลดิ้ง ฝ่ายละ 50% ซึ่งเป็นแผนงานของบริษัทแม่ในสวิตเซอร์แลนด์ ที่ต้องการขยายธุรกิจต่อเนื่องจากช็อกโกแลตและคอนเฟรกชั่นนารี
ที่มีมาตั้งแต่ 6 ปีที่แล้ว
จากตัวเลขของดีมาร์ระบุว่า ปริมาณการบริโภคไอศกรีมของคนไทยจะอยู่ประมาณ
2 ลิตรต่อคนต่อปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยกว่าถึง 10 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐอเมริกา
คือ 20 ลิตรต่อคนต่อปี และเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีพลเมืองน้อยกว่าไทย
ได้แก่ มาเลเซีย และสิงค์โปร์ที่มีปริมาณการบริโภคอยู่ที่ 2.5 ลิตร และ 4
ลิตรต่อคนต่อปี ตามลำดับ
เนสท์เล่มีความมั่นใจมากว่า ตลาดในประเทศไทยยังมีโอกาสหรือช่องว่างให้เข้ามาทำธุรกิจได้อีกมาก
และในระยะยาวจะอยู่ในมือของแบรนด์อินเตอร์เป็นส่วนใหญ่ ส่วนแบรนด์เล็กๆ หรือที่ไม่มีชื่อเสียงมากนักก็จะค่อยๆ
หายไปเรื่อยๆ เพราะเนสท์เล่เชื่อว่าตลาดนี้ต้องแข่งขันกันในเรื่องคุณภาพเป็นสำคัญ
"ไอศกรีมคุณภาพเท่านั้นที่จะอยู่ได้" โดยเนสท์เล่ตั้งงบประมาณที่ใช้ในการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในแต่ละปีนี้สูงถึง
20-30 ล้านบาทในตลอด 3 ปีนี้เช่นกัน
ขณะนี้สินค้าของเนสท์เล่ที่ขายดีคือ ไอศกรีมาชนิดโคนและเคลือบช็อกโกแลต
และตัวใหม่ที่จะออกมาในเดือนมีนาคมจะเป็นไอศกรีมโคนรสชาติใหม่ ภายใต้แบรนด์ดรัมสติ๊ก
ซึ่งมีราคาอยู่ที่ 13 บาท
ทั้งนี้ ที่เนสท์เล่ค่อนข้างมีความมั่นใจในด้านการขยายสัดส่วนการครองตลาด
อันเนื่องมาจากความหลากหลายของตัวสินค้า เพราะมีไอศกรีมต่างๆ อยู่ถึง 39
รายการ ราคาเริ่มต้นที่ 3 บาท ไปจนถึง 24 บาท ซึ่งถือว่ามีช่วงกว้างมากกว่าคู่แข่ง
ในปีที่แล้วปริมาณการบริโภคตกลง แต่ด้านมูลค่าเพิ่มขึ้น 1% ซึ่งเนสท์เล่ยังเชื่อมั่นว่า
แผนงานต่างๆ จะดำเนินไปได้" ถือเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องพยายามสร้างความต้องการซื้อให้กับผู้บริโภค
โดยผ่านสินค้าที่มีคุณภาพและอุปกรณ์ตู้แช่ที่น่าดึงดูด" โทมัส เอส.
โคลีย์ ประธานกรรมการบริหารเนสท์เล่ (ประเทศไทย) กล่าวอย่างมุ่งมั่น