"แนเชอรัล พาร์ค" ชนะประมูลโรงภาษีร้อยชักสามของกรมธนารักษ์ หลังคะแนนด้านเทคนิคและเสนอผลตอบแทนสูงสุด เตรียม เสนอให้ ครม.เห็นชอบเร็วๆ นี้ ด้าน "ธนารักษ์" ไม่หวั่นปัญหาฐานะการเงิน "N-PARK" สั่นคลอน ระบุเป็นคนละส่วนกับผลตัดสิน

รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึง ความคืบหน้าในการประมูลที่ราชพัสดุแปลงหมายเลข ทะเบียนที่ กท 043314 (โรงภาษีร้อยชักสาม) ว่า คณะกรรมการคัดเลือกบริษัทเอกชนเพื่อพัฒนาที่ดินราชพัสดุ ได้พิจารณาคัดเลือกบริษัทเอกชนที่ชนะการประมูลเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าในเร็วๆ นี้จะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป

สำหรับบริษัทที่ชนะการประมูลที่ราชพัสดุครั้งนี้ คือ บริษัท แนเชอรัล พาร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ N-PARK เพราะเป็นบริษัทที่มีคะแนนด้านเทคนิคสูงสุด เนื่องจากออกแบบได้ใกล้เคียงกับร่างเงื่อนไขหรือทีโออาร์ และตรงกับแนวปรัชญาที่นำเสนอต่อคณะกรรมการฯ และประเด็นที่สำคัญ คือ N-PARK มีการเสนอราคาค่าเช่าและค่าจัดประโยชน์มาสูงที่สุดคือ 567 ล้านบาท

ส่วนกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาระบุว่า บริษัท แนเชอรัล พาร์ค จำกัด (มหาชน) มีฐานะการเงินที่ไม่น่าเชื่อถือ และได้สั่งการให้ธนาคารกรุงไทยในฐานะเจ้าหนี้ตรวจสอบรายละเอียดให้ชัดเจนนั้น จะไม่มีผลต่อการพิจารณาตัดสินผู้ชนะประมูลในโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุแต่อย่างใด เพราะคณะกรรมการฯ จะยืนยันตามผลการพิจารณาตามเงื่อนไขที่กำหนดเท่านั้น

"แม้ว่า N-PARK จะขาดความชัดเจนของแหล่งที่มาของเงินทุน หรือมีปัญหาเรื่องกระแสเงินสด ตามที่เป็นข่าว บริษัทมีหน้าที่ต้องไปทำความเข้าใจหรือชี้แจงกับธนาคารเจ้าหนี้เอง ไม่เกี่ยวข้องกับกรมธนารักษ์แต่อย่างใด"

สำหรับแผนพัฒนาพื้นที่ราชพัสดุ ที่บริษัทแนเชอรัล พาร์ค เสนอมานั้น จะสร้างเป็นโรงแรม 3 ชั้น พร้อมกับปรับปรุงอาคารเก่าทั้ง 3 หลัง เป็นห้องจัดแสดงกิจกรรมต่างๆ เช่น ร้านอาหาร และห้องพัก ที่เห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งโดยภาพรวมของการออกแบบถือว่ามีความกลมกลืนกับอาคารเดิมเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ กลุ่มผู้ยื่นซองประมูลจำนวนโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุ แปลงโรงภาษีร้อยชักสาม ทั้ง 3 ราย ประกอบด้วย บริษัท ที.ซี.ซี.แลนด์ จำกัด บริษัท เกรท แฮริทิจ จำกัด และบริษัท แนเชอรัล พาร์ค จำกัด (มหาชน) จากผู้ซื้อซองทั้งหมด 8 ราย

ด้านความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น N-PARK วานนี้ (27 ก.ค.) เปิดตลาดที่ 2.12 บาท จากนั้นได้ปรับลงลึกสุดที่ 2.08 บาทช่วงเช้าก่อนจะดีดกลับขึ้นไปในช่วงท้ายตลาดและปิดได้ที่ 2.12 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 36.82 ล้านบาท