การประกาศนโยบายของรัฐบาลจากปากรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจอย่างศุภชัย
พานิชภักดิ์ ด้วยวิถีที่จะมุ่งเข้าหา "ทางอยู่รอดของประเทศไทย"
ภายใต้กฎเหล็กของ "มหามิตร" ที่ส่งผ่านมาทางกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
หรือ ไอเอ็มเอฟ ทำให้ไทยต้องเร่งมาตรการที่ดองมาแสนนานในเรื่องการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
โดยดึงเงินจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาเสริมโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการ
เติมต่อความฝันที่จะปั้นให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านการขนส่งทาง อากาศในภูมิภาค
ซึ่งไม่ยอมแตกดับไปพร้อมกับเศรษฐกิจฟองสบู่ มีการนำมาปัดฝุ่นใหม่อีกครั้ง
สามโครงการหลักที่ศุภชัย ประกาศต่อหน้านักลงทุนทั้งไทยและ ต่างประเทศในการสัมมนาระดับนานาชาติ
ว่าด้วยเรื่อง "โครงการศูนย์กลางการผลิตและขนส่งทางอากาศยานนานาชาติ
เตรียมไทยสู่ศูนย์กลางด้านการบินและธุรกิจ ศตวรรษที่ 21" เมื่อ 21 มกราคมที่ผ่านมาก็คือ
- โครงการศูนย์กลางการผลิตและขนส่งทางอากาศยานนานาชาติที่สนามบินอู่ตะเภา
หรือ Global Transpark
- โครงการทางอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งที่สอง ที่หนองงูเห่า
และ - โครงการศูนย์ซ่อมอากาศยานแห่งที่ 2 ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)
ทั้ง 3 โครงการเป็นแผนการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกระยะที่ 2
เป็นการประกาศนโยบายด้านโครงการขนาดใหญ่ที่แน่ชัด เมื่อเริ่มต้นปีเผาจริงของเศรษฐกิจไทย
และเป็นการยืนยันว่า แม้รัฐบาลไทยจะประสบปัญหาด้านการเงินการคลังขนาดหนัก
แต่ก็ยังพร้อมที่จะเดินหน้าโครงการลงทุนขนาดมหาศาลต่อไป
เพียงแต่ครั้งนี้ ปรับกลยุทธ์เปิดทางเอกชนต่างชาติเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น
ลดเงื่อนไขสร้างแรงจูงใจครั้งมโหฬาร
Global Transpark ที่อู่ตะเภานั้น ได้รับความช่วยเหลือจากตัวแทนการค้าและการพัฒนาของสหรัฐ
หรือ U.S. Trade and Development Agency
ศูนย์ซ่อมเครื่องบินลำตัวกว้างของการบินไทย ประกาศหาผู้ร่วมทุนแล้ว
โครงการสนามบินหนองงูเห่ายังอยู่ในที่นั่งลำบาก ตั้งแต่เริ่มปั้นโครงการมาเมื่อปี
2535 เป้าหมายเดิมที่จะแล้วเสร็จในปี 2543 จนป่านนี้ความคืบหน้าด้านการก่อสร้างยังไม่มีความชัดเจน
กำหนดการก่อสร้างและใช้งานได้ล่วงเลยไปถึงปี 2547
การทิ้งบอมบ์ของรัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ให้ล้มประมูลถมทรายกับบริษัทอิตาเลียนไทย
ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และเป็นภาระที่รัฐบาลชุดนี้ต้องสะสางและเปิดประมูลใหม่
ไม่ให้มีปัญหายืดเยื้ออยู่กับเอกชน โดยเฉพาะการถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย
อาจเป็นอีกปัจจัยที่ดึงให้โครงการล่าช้า
สำหรับบริษัท ท่าอากาศยานสากลแห่งใหม่ จำกัด หรือ บทม. ผู้ดูแลที่ถูกอนุมัติจัดตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่
27 กุมภาพันธ์ 2539 และรับมอบหน้าที่ควบคุมดูแลงานจ้างออกแบบและควบคุมงานก่อสร้างต่อมาในวันที่
11 เมษายน เริ่มเจออุปสรรคตั้งแต่แรกเริ่มลงมือทำงานเดิมงานทุกอย่างของหนองงูเห่ายังมีเต็มโครงการมีทางวิ่ง
2 เส้น รับผู้โดยสารได้ 30 ล้านคนต่อปี
เมื่อสภาพเศรษฐกิจผันแปร โครงการต้องลดขนาดลงเหลือเพียงการก่อสร้างทางวิ่ง
1 เส้น รองรับผู้โดยสารได้ 20 ล้านคนต่อปี วงเงินลงทุนประมาณ 68,800 ล้านบาท
เปิด ให้บริการได้ปี 2547 จากงบประมาณ เดิมที่ตั้งไว้ถึงประมาณ 8 หมื่นล้านบาท
บทม.เองไม่ได้มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ เพราะโครงการก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จมีเพียงเงินดอกเบี้ยเงินฝากเท่านั้น
เงินทุนจดทะเบียนเป็นของผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้แก่กระทรวงการคลัง และการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
หรือ ทอท. เรียกชำระแล้ว ประมาณ 8,748 ล้านบาท จากทุน 10,000 ล้านบาท
เมื่อบทม.ต้องการเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 20,650 ล้านบาท ก็ต้องเรียกชำระเพิ่มจากผู้ถือหุ้นรายเดิมซึ่งเท่ากับยังเหลือเงินอยู่อีกประมาณ
11,000 ล้านบาทจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ทั้งสองก็ทำได้ยาก
กระทรวงการคลังซึ่งเป็นกระเป๋าเงินของรัฐบาลต้องเจียดเงินทุกบาททุกสตางค์อย่างคุ้มค่า
หลังการตัดงบประมาณครั้งมโหฬารภายใต้กฎเหล็กของไอเอ็มเอฟ คงไม่สามารถจัดสรรงบประมาณมาจ่ายค่าหุ้นให้กับ
บทม.ได้
ขณะที่ ทอท.ยอมที่จะชำระค่าหุ้นส่วนที่เหลือให้ครบเต็มตามจำนวนสัดส่วนร้อยละ
51.39 จากทุนจดทะเบียน 10,000 ล้านบาทเท่านั้น
วาระการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2541 เมื่อวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา
จะมีเรื่องการเพิ่มทุนเข้าสู่ที่ประชุม ก็ถูกตีตกให้ระงับไว้เป็นการชั่วคราวเพื่อเป็นการซื้อเวลาการชี้ขาดชะตาของโครงการหนองงูเห่า
มีการโยนภาระให้อยู่ในอุ้งมือของคณะกรรมการเร่งรัดการดำเนินงานโครงการท่าอากาศยานหนองงูเห่า
และกรรมการศึกษาแนวทางการเพิ่มบทบาทเอกชน ในการพัฒนาท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่
ที่มี ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล เป็นประธาน
คณะกรรมการฯ ต้องเร่งหาข้อสรุปการปรับปรุงจราจรทางการบินระหว่างสนามบินดอนเมือง
และหนองงูเห่าให้สอดคล้องกัน ใช้ข้อมูลของที่ปรึกษา ทอท.คือบริษัท ทิสโก้
กับที่ปรึกษาบทม.คือบริษัทนาป้า ศึกษาเพื่อแบ่งงานการบริหารให้ลงตัวและชัดเจนมากขึ้น
แผนที่แน่นอนเพื่อใช้ชักจูงนักลงทุนต่างชาติมาลงขันให้หนองงูเห่า โดยการแบ่งซอยงานในสนามบินถึง
14 งาน และตั้งบริษัทลูกรองรับการร่วมทุน
ผ่อนภาระของรัฐบาลและทอท.ในการลงทุนของหนองงูเห่า
"การแปรรูปที่เกิดขึ้นจะต้องมีการปรับปรุงแผนการเงินใหม่ ทอท.เองก็ต้องถูกแปรรูป
เงินที่มีอยู่จึงต้องเก็บไว้เพื่อรองรับแผนใหม่ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องจ่ายเงินเพิ่มทุนให้กับบทม.
เพราะ บทม.เองเมื่อได้ข้อสรุปเรื่องการแปรรูป ก็อาจไม่ต้องใช้เงินเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้นเดิมก็ได้"
ผู้บริหารระดับสูงของทอท.สรุปนโยบายของทอท.ที่มีต่อบริษัทลูก
การแปรรูปนั้น อาจนำมาซึ่งผู้ถือหุ้นรายใหม่ เงินที่ได้จากการเพิ่มทุนก็อาจเป็นของเอกชนทั้งในประเทศหรือต่างประเทศก็ได้
สถานการณ์บทม.จึงต้องรอผลสรุปของหม่อมเต่าที่คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนมีนาคม
แม้ปรีติ เหตระกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บทม.เองต้องการให้ผู้ถือหุ้นยอมเพิ่มทุนในบทม.
เพื่อรักษาระดับความเชื่อมั่นจากสถาบัน การเงินต่างประเทศที่จะปล่อยกู้ให้กับโครงการก็ตาม
แต่เมื่อรัฐบาลกระเป๋าฉีก และเร่งเร่ขายโครงการยักษ์เพื่อต่อชีวิตแผนลงทุนและอนาคตของประเทศ
ความต้องการของ บทม.ก็ดูจะกลายเป็นเรื่องเล็กเกินไปเสียแล้ว