"เพอร์เฟค" ตั้งเป้า 4 ปีพัฒนาแลนด์แบงก์ 2,000 กว่าไร่ ในพื้นที่4 โซนหลัก รัตนาธิเบศร์ รังสิตเหนือ รามคำแหง และโซนใกล้เมือง มูลค่าโครงการรวม 40,000 กว่าล้านบาท เผยแผนปี 48 ขอทวงคืนส่วนแบ่งตลาดอันดับสองตั้งเป้ายอดขาย 10,000 ล้าน พร้อมทุ่มงบซื้อแลนด์แบงก์เพิ่มใน 4 โซนกว่า 950 ไร่ แจงรับรู้รายได้ไตรมาสแรก กว่า 2,200 ล้านบาท คาดครบ 4 ไตรมาสฟัน 7,000 ล้านบาท

นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ ผู้ช่วย กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF กล่าวว่า ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายในโครงการ 2,200 ล้านบาท และคาดว่าเมื่อครบ 4 ไตรมาสจะสามารถมียอดขายรวม 7,000 ล้านบาท จากโครงการทั้งหมดที่เปิดตัวไปแล้วและกำลังจะมีการเปิดตัว ส่วนแผนในปีหน้า บริษัทตั้งเป้า มียอดขายรวมประมาณ 10,000 ล้านบาท จากโครงการเดิมและโครงการที่จะมีการพัฒนา ต่อเนื่องในพื้นที่ 4 โซน ประกอบด้วย โซนรัตนาธิเบศร์ โซนรังสิตเหนือ โซนรามคำแห่งและโซนสาทร-พัฒนาการ ซึ่งทั้ง 4 โซนนี้บริษัท มีที่ดินสะสมรวม 2,000 กว่าไร่ และมีแผนที่จะพัฒนาเป็นโครงการต่อเนื่องในระยะเวลา 4 ปี มูลค่าขายรวม 40,000 กว่าล้านบาท

ทั้งนี้ ในปี 2548 บริษัทมีแผนที่จะพัฒนาพื้นที่ทั้ง 4 โซนต่อเนื่อง ซึ่งมีการวางเป้ารายได้ปีหน้าไว้ที่ 10,000 ล้านบาท เพื่อกลับมาถือครอง ส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับที่ 2 เหมือนกับในช่วงก่อนวิกฤตเศรษฐกิจ เนื่องจากขณะนี้ บริษัทมีอำนาจในการบริหารงานได้อย่างคล่องตัวประกอบกับบริษัทได้ผ่านขั้นตอนและหลุดจากแผนฟื้นฟูฯแล้วเมื่อช่วงที่ผ่านมา

สำหรับโซนที่ 1 ในพื้นที่รัตนาธิเบศร์นั้น ขณะนี้บริษัทมีแลนด์แบงก์สะสมรวม 750 ไร่ โดยเป็นแลนด์แบงก์เก่า จำนวน 650 ไร่ อยู่ระหว่างการพัฒนา 250 ไร่ และรอการพัฒนาเป็นโครงการ ริเวอร์ทาวน์ 400 ไร่ และได้ซื้อที่ดินเพิ่ม (แลนด์แบงก์) ประมาณ 100 ไร่ เป็นพื้นที่หลังวัดเพลงเพื่อพัฒนาโครงการในอนาคต รวม 750 ไร่

ส่วนโครงการที่มีการพัฒนาในโซน 1 ขณะนี้ ประกอบด้วย โครงการเพอร์เฟคเพลสจำนวน 50 ไร่ เป็นโครงการต่อเนื่องมีจำนวน 150 ยูนิต คาดว่าจะปิดยอดขายได้ในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 48 และโครงการมาสเตอร์พีซ โซนเอ็น

ทั้งนี้ ที่ต้องมีการพัฒนาในโซนเอ็นเพิ่มเนื่องจากในโซนเอ็มนั้น ใกล้จะปิดยอดขายแล้ว โดยขณะนี้เหลืออีกเพียง 30 ยูนิตเท่านั้น ส่วนอีก 1 โครงการนั้นจะเป็นการพัฒนาพื้นที่จำนวน 50 ไร่ในย่านเดียวกัน โดยจะพัฒนาภายใต้แบรนด์มณียา ซึ่งจะสามารถเปิดขายได้ในไตรมาส 4 ปีนี้ และคาดว่าจะสามารถปิดยอดขายได้ในไตรมาส ที่ 2 ปี 2548

นายธีระชน กล่าวต่อว่า สำหรับในโซนที่ 2 โซนรังสิตเหนือ มีจำนวนแลนด์แบงก์ 750 ไร่ โดยแบ่งเป็นแลนด์แบงก์เก่าเลียบถนนติวานนท์ทางหลวงหมายเลข 3-4-5 จำนวน 200 ไร่ และที่ดินในเขตรังสิตอีก 50 ไร่ ส่วนที่มีการซื้อเพิ่มในบริเวณเลียบถนนพระราม 5 จำนวน 100 ไร่ และในส่วนที่ซื้อเพิ่มในเขตบางใหญ่อีก 400 ไร่ โดยในส่วนของพื้นที่ที่กำลังพัฒนาต่อเนื่องประกอบด้วย พื้นที่เลียบถนนติวานนท์ 200 ไร่ ซึ่งพัฒนาเป็นโครงการต่อเนื่องภายใต้แบรนด์ เพอร์เฟคเพลส เลคแอนด์พาร์ค คาดว่าจะสามารถรองรับโครงการได้อีก 2 ปี และพื้นที่รังสิตภายใต้แบรนด์มณียาอีก 501 ไร่ คาดว่าจะสามารถเปิดขายได้ในไตรมาส 4 นี้ และจะสามารถปิดยอดขายได้ในไตรมาส 2 ปี 2548 นี้

ส่วนในโซนถนนรามคำแหงซึ่งเป็นโซนที่ 3 นั้นบริษัทมีแลนด์แบงก์สะสมอยู่ 550 ไร่ แบ่งออกเป็นแลนด์แบงก์เดิม 510 ไร่อยู่ในพื้นที่ เขตรามคำแหง 260 ไร่ อยู่ในพื้นที่เขตอ่อนนุช 250 ไร่ และในส่วนที่มีการซื้อเพิ่มอีก 40 ไร่ในเขตรามคำแหง ทั้งนี้ พื้นที่ทั้งหมดขณะนี้อยู่ในช่วงกำลังพัฒนาต่อเนื่อง ประกอบด้วยโครงการ รามคำแหงการ์เด้นจำนวน 100 ไร่ ซึ่งคาดว่าจะปิดยอดขายได้ภายในปี 48 และโครงการบัวขาว โคโลเนียล อีก 100 ไร่ และอีก 60 ไร่ในพื้นที่โครงการพัฒนาต่อเนื่อง ซึ่งจะพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์เพอร์เฟคเพลส โดยจะพัฒนาใน รูปแบบเลกไชด์กับโคโลเนียล

สำหรับโซนที่ 4 เป็นพื้นที่ในเขตใกล้เมือง มีจำนวนแลนด์แบงก์สะสมอยู่จำนวน 450 ไร่ ซึ่งแบ่งเป็นแลนด์แบงก์เก่าจำนวน 100 ไร่ในเขตเอกมัย-รามอินทรา ที่มีการพัฒนาโครงการไปแล้ว 50 ไร่ภายใต้แบรนด์มาสเตอร์พีซ เอกมัย-รามอินทรา และในส่วนที่มีการซื้อแลนด์แบงก์สะสมใหม่เพิ่มอีกจำนวน 350 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ เขตสาทร 250 ไร่ ซึ่งจะมีการพัฒนาเป็นโครงการ ภายใต้แบรนด์มาสเตอร์พีซ ในช่วงไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปีนี้ และพื้นที่ที่มีการซื้อเพิ่มเข้ามาอีก 250 ไร่ เป็นพื้นที่ในเขตถนนพัฒนาการ โดยมีราคาซื้อที่ประมาณ 500 ล้านบาท

นายธีระชนกล่าวว่า การพัฒนาแลนด์แบงก์ ทั้งหมดใน 4 โซนดังกล่าวนี้ บริษัทจะทยอยพัฒนาในรูปแบบโครงการต่อเนื่องซึ่งจะทำให้สามารถรองรับโครงการของบริษัทไปได้อีกประมาณ 4 ปี ซึ่งในส่วนของแลนด์แบงก์สะสมที่มีการซื้อเข้ามาใหม่นี้ บริษัทก็จะเริ่มทยอยพัฒนาให้ต่อเนื่องกับโครงการเดิมในแต่ละโซนทั้งหมด ส่วนเงินลงทุนที่บริษัทนำมาใช้ในการซื้อแลนด์แบงก์สะสมนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเงินของบริษัท และอีกส่วนหนึ่งบริษัทจะใช้วิธีการขาย พันธบัตรเงินกู้ (ออกบอนด์) ในวงเงินประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยในช่วงแรกจะนำออกขายประมาณ 1,550 ล้านบาทเพื่อนำไปใช้ในการซื้อแลนด์แบงก์ดังกล่าว ส่วนที่เหลือ 450 ล้านบาท บริษัทจะนำออกขายให้แก่พนักงานบริษัทซึ่งจะมีการหารือกันต่อไปว่าจะขายในรูปแบบใด