Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน15 กรกฎาคม 2547
"สุริยะ"ไม่สน"คีรี"ขวางยันซื้อBTS3.4หมื่นล้าน             
 


   
search resources

ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ, บมจ.
กระทรวงคมนาคม
คีรี กาญจนพาสน์
สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ
Transportation




"สุริยะ" ไม่สนท่าที "คีรี" อ้างปรับโครงสร้างหนี้ล่าช้า เผยเดินหน้าเจรจาซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าบีทีเอสกับผู้ถือหุ้นรายอื่นต่อ หลังเจ้าหนี้ยอมลดหนี้ให้ 45% คาดใช้เงินซื้อทั้งโครงการประมาณ 34,000 ล้านบาท มั่นใจภายในสิ้นปีซื้อคืนเรียบร้อย เผยตัวเลขบัญชี บีทีเอส ขาดทุนแถมไออาร์อาร์ต่ำ ส่งผลราคาหุ้นซื้อคืนหุ้นละ 5 บาท

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า การเจรจาเพื่อซื้อโครงการรถไฟฟ้าบีทีเอสมีความคืบหน้าไปมาก เพราะกลุ่มเจ้าหนี้ของบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ที่มีเคเอฟดับบลิวเป็นแกนนำยืนยันชัดเจนเรื่องการลดหนี้ประมาณ 45% ให้รัฐ ส่วนการที่นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บีทีเอส ออกมาระบุว่า จะไม่มีการขายคืนสัมปทานให้รัฐนั้นเป็นเรื่องของเอกชน ส่วนตนยืนยันว่าจะเดินหน้าเรื่องการซื้อคืนต่อไป ซึ่งหลังจากนี้จะเจรจากับกลุ่มผู้ถือหุ้นอื่นๆ ของบีทีเอสต่อไป

"ก่อนหน้านี้ บีทีเอสเคยบอกว่า ขอเวลาในการปรับโครงสร้างหนี้ และจะเร่งเจรจากับเจ้าหนี้ให้จบ ผมก็รอมาเป็นปีก็ไม่มีอะไรคืบหน้า ซึ่งหากบีทีเอสทำได้อย่างที่พูดก็ไม่มีปัญหา แม้ว่าคุณคีรีจะออกมาพูดก็จะไม่ส่งผลต่อการเจรจาต่อไป เพราะผู้ถือหุ้นของบีทีเอสมีหลายราย และคาดว่าจะไม่มีปัญหาในการเจรจาเพราะราคาที่ซื้อจากผู้ถือหุ้น จะเป็นธรรมคือตามที่ลงบัญชีไว้ จะไม่มีการ รังแกเอกชนอย่างแน่นอน ภายในปี 2547 นี้เชื่อว่าจะสามารถซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าบีทีเอสได้เรียบร้อย"

นายสุริยะกล่าวว่า การที่เจ้าหนี้บีทีเอสทั้ง เคเอฟดับบลิว ธนาคารไทยพาณิชย์ บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) และไอเอฟซี ยอมลดหนี้ ให้ 45% จะทำให้รัฐใช้เงินในส่วนของการซื้อหนี้และดอกเบี้ยประมาณ 21,000 ล้านบาท ส่วนผู้ถือหุ้นคาดว่าจะซื้อประมาณ 50% ของทุนจดทะเบียน (18,000 ล้านบาท) หรือไม่เกิน 9,000 ล้านบาท ส่วนหนี้การค้านั้นใช้เงินอีกไม่เกิน 3,800 ล้านบาท รวมแล้วคาดว่าจะใช้เงินในการซื้อคืนรถไฟฟ้าบีทีเอส ประมาณ 33,800 ล้านบาท

แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า รมว.คมนาคมได้ตำหนินายคำรบลักขิ์ สุรัสวดี ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนการขนส่ง และจราจร (สนข.) กรณีที่เชิญผู้แทนของทั้งบีทีเอสและบีเอ็มซีแอล เข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการเจรจาซื้อคืนสัมปทานเดินรถไฟฟ้าที่มีนายอุทิศ ธรรมวาทิน รองปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากเห็นว่า คณะกรรมการฯ เพิ่งประชุมครั้งแรกควรจะหารือเพื่อวางกรอบในส่วนของภาครัฐให้เรียบร้อยก่อนที่จะเรียกเอกชนมาร่วมประชุม ซึ่งเป็นผลทำให้นายคีรี ออกมาพูดว่าถูกรัฐบาลบีบให้ขายคืนสัมปทาน

แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า จากการตรวจสอบตัวเลขทางบัญชีของทางบริษัทพบว่า มีผลประกอบการที่ขาดทุน ในขณะเดียวกันมีตัวเลขผลตอบแทนการลงทุน (ไออาร์อาร์) อยู่ที่ 4% ซึ่งถือว่าน้อยมากในด้านความคุ้มค่าในการลงทุน ดังนั้น หากนำตัวเลข ดังกล่าวมาใช้ในการคำนวณการซื้อคืน เชื่อว่าราคาที่จะซื้อคืนนั้นจะต่ำมาก ราคาหุ้นจะอยู่ที่ประมาณ 5 บาทเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม กระทรวงคมนาคมยังยืนยันที่จะซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าทั้ง 2 โครงการ เนื่องจากเร็วๆ นี้ จะมีการลงทุนก่อสร้างส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าอีกกว่า 4 แสนล้านบาท และจะต้องมีการเชื่อมโครงข่ายหากไม่เร่งซื้อมาเป็นของรัฐอาจจะเป็นการเพิ่มอำนาจต่อรองให้เอกชน เมื่อมีโครงข่ายเพิ่มแล้วเอกชนยังเป็นเจ้าของโครงข่ายส่วนที่อยู่ในเมืองอยู่

เร่งแก้ขาดทุน ขสมก.

นายสุริยะกล่าวภายหลังการประชุมร่วมกับกระทรวงการคลัง เรื่องการปรับโครงสร้างรัฐวิสาหกิจวานนี้ว่า ในส่วนของกระทรวงคมนาคมมีหลายรัฐวิสาหกิจที่ยังประสบปัญหาขาดทุนอยู่ เช่น องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เป็นต้น ซึ่งในวันที่ 23 ก.ค.นี้ ที่ประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ (กนร.) จะพิจารณาแผนแก้ปัญหาขสมก. ซึ่งขณะนี้มีหลายแนวทางที่จะดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาขาดทุน การแยกบริการสังคม (PSO) ที่ต้อง ให้รัฐสนับสนุนงบประมาณให้ชัดเจนรวมทั้งการปรับปรุงการให้บริการ เช่น การปรับเส้นทางเดินรถการลดจำนวนรถธรรมดามาเป็นรถปรับอากาศ เป็นต้น   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us