124 คอมมิวนิเคชั่นส์เตรียมเข้าระดมทุนใน MAI ปีหน้า เป็นบริษัทพี/อาร์รายแรกในตลาดทุนไทย มุ่งหวังขยายธุรกิจให้ขยายตัวต่อเนื่อง ตั้งเป้าปีนี้กวาดรายได้ 100 ล้านบาท ขณะที่ปีหน้าไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท
นายนิมิตร หมดราคี กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท 124 คอมมิวนิเคชั่นส์ เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่หรือ MAI ภายในปี 2548 นี้ เนื่องจากต้องการ ที่จะขยายธุรกิจให้เติบโตมากยิ่งขึ้น โดยปัจจุบันนี้ บริษัทมีทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท ดังนั้นเมื่อจะเข้าจดทะเบียนในตลาดเอ็มเอไอจะต้องเพิ่มทุนให้มีทุนจดทะเบียนอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาทตามเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนดไว้ ซึ่งจะถือเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์รายแรกในตลาดหุ้นของไทย
ทั้งนี้ บริษัท 124 คอมมิวนิเคชั่นส์ก่อตั้งในปี 2532 จนถึงปัจจุบันนี้เป็นเวลา 15 ปีแล้วปรากฏ ว่ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยจะประสบปัญหาเกี่ยวกับการ ที่อิรักบุกคูเวต และไทยต้องกู้ยืมเงินจากกองทุน การเงินระหว่างประเทศ(IMF) แต่ในส่วนของบริษัทก็สามารถผ่านพ้นช่วงเวลาดังกล่าวได้ เนื่อง จากบริษัทจะมุ่งทำธุรกิจในสิ่งที่มีความชำนาญมากที่สุด
"โครงสร้างการถือหุ้นของบริษัทนั้น ช่วงแรกที่ก่อตั้งบริษัทมีผมถือหุ้น 48% และคุณ สุพรทิพย์ ช่วงรังษี ถือหุ้น 52% แต่เมื่อไม่นานมานี้ คุณสุพรทิพย์ก็ต้องการพักผ่อนจึงได้ขายหุ้นออกมาให้ผมทั้งหมด ดังนั้นผมจึงถือ 100% ซึ่งต่อมาได้มีนักลงทุนคนหนึ่งซึ่งเป็นคนที่รู้จักกัน และมีความเชื่อมั่นในการทำงานของผม พร้อมที่จะนำเงินเข้ามาลงทุน โดยที่จะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว กับการบริหารงานแต่อย่างใด ซึ่งได้เข้ามาเป็นพันธมิตร โดยเข้ามาซื้อหุ้นในสัดส่วน 50%" นายนิมิตรกล่าว
ปัจจุบันนี้บริษัทฯไม่มีหนี้เงินกู้แต่อย่างใด และมีกระแสเงินสดอยู่ประมาณ 20 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นข้อดีของบริษัทและเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้พันธมิตรสนใจเข้ามาถือหุ้น
กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท 124 คอมมิวนิเคชั่นส์ กล่าวต่อว่า ผลประกอบการของบริษัทมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2545 มีรายได้ 62 ล้านบาทในปี 2546 มีรายได้ 83 ล้านบาท และในปี 2547 ได้ตั้งเป้าว่าจะมีรายได้ประ-มาณ 100 ล้านบาทซึ่งในครึ่งปีแรกสามารถทำได้ แล้วประมาณ 50 ล้านบาท และเชื่อว่าจะสามารถ ทำได้ตามเป้าหมายหรืออาจจะมากกว่านั้น ส่วนในปีหน้าคาดว่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท
"ในครึ่งปีแรก 2547 นี้บริษัทมีรายได้ประมาณ 50 ล้านบาท และทั้งปีเชื่อว่าไม่ต่ำกว่า100 ล้านบาท ซึ่งโครงสร้างรายได้ของบริษัทจะมา จากลูกค้าที่ทำสัญญาระยะยาวเป็นปีซึ่งมีอยู่ 32 ราย เช่น บริษัทเอไอเอส, สามารถคอร์ปอเรชั่น, ภัทรลิสซิ่ง เป็นต้น ซึ่งคิดเป็น 80% ของรายได้ทั้งหมด ส่วนที่เหลือจะเป็นรายได้จากลูกค้าจรที่มาใช้บริการเป็นบางครั้งเมื่อจะจัดงาน" นายนิมิตร กล่าว
สำหรับกลุ่มลูกค้าของบริษัทนั้นแยกเป็นประเภทประกอบด้วย กลุ่มสารสนเทศ และโทรคมนาคม เป็นสัดส่วนรายได้ 30% กลุ่มการเงินและบริการทางการเงิน เป็นสัดส่วนของรายได้ 40%, กลุ่มอุตสาหกรรม 10%, กลุ่มรถยนต์ 5%, กลุ่มบันเทิงและสันทนาการ 5% และกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม และแฟชั่น 10%
นอกจากนี้ บริษัทยังเน้นการประชาสัมพันธ์ ให้กับบริษัทใหม่ที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์ (IPO) เพราะพิจารณาเห็นว่านโยบาย ของรัฐบาลที่จะผลักดันให้บริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น โดยในส่วนของบริษัทได้ดำเนินการมาแล้ว 3 ปีซึ่งก็ได้รับความร่วมมือจากบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ซึ่งถือเป็นบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินรายใหญ่และมีลูกค้าจำนวนมาก เช่น บล.เอเซีย พลัส, บล.ซีมิโก้, บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย), บล.ทิสโก้, บล.ฟินันซ่า, บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) และบล. ทิสโก้ เป็นต้น
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีลูกค้าที่สนใจ จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว 10 บริษัทและเชื่อว่าทั้งปีน่าจะมีลูกค้าประมาณ 20 บริษัทโดยรายได้จากส่วนนี้คิดเป็น 30-40% ของรายได้รวมของบริษัท
ปัจจุบันนี้บริษัทมีพนักงานทั้งหมด 40 คนและจากการที่บริษัทมีแผนที่จะขยายธุรกิจให้เติบ โตมากขึ้น จึงเตรียมที่จะรับพนักงานเพิ่มขึ้น อีกจำนวนประมาณ 8 คนโดยทรัพย์สินของบริษัท คือพนักงาน ดังนั้น บริษัทจึงได้พยายามหาคนที่ดี ที่สุดเข้ามาร่วมงาน ขณะเดียวกันก็มีการฝึกอบรม พนักงานใหม่ๆ ให้มีความสามารถมากยิ่งขึ้น
สำหรับจุดเด่นของบริษัทนั้น มีบริษัทพันธมิตรจากต่างประเทศ คือบริษัท FLEISHMAN HILLARD ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจประชาสัมพันธ์ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก และยังมีบริษัท KETCHAM ซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก โดยทั้ง 2 บริษัทนี้จะมีการแนะนำลูกค้าต่างประเทศที่มาลงทุนหรือมาจัดกิจกรรมในประเทศไทยให้มาใช้บริการกับบริษัท ขณะเดียวกัน ถ้ามีบริษัท ของไทยที่จะไปขายหุ้นต่างประเทศหรือไปแนะนำ ข้อมูล(โรดโชว์)บริษัท 124 คอมมิวนิเคชั่นส์ก็จะ แนะนำให้ไปใช้กับบริษัทพันธมิตรทั้ง 2 เช่นกัน
|