Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ เมษายน 2541








 
นิตยสารผู้จัดการ เมษายน 2541
ช่อง 7 ถึงเวลาทวงแชมป์             
 


   
search resources

สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบก ช่อง 7




หลังจากโดนสถานีโทรทัศน์สีช่อง 3 ตีกระหน่ำแบบไม่ยั้ง ทั้งในด้านละครและรายการวาไรตี้ ทำเอาสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 เจ้าของแชมป์เรตติ้งครองใจคนดู ต้องหันมาตั้งรับปรับปรุงตัวเองครั้งใหญ่ เพื่อรับมือกับศึกอันใหญ่หลวงครั้งนี้

จะว่าไปแล้วสงครามระหว่างสถานีโทรทัศน์แบบฟรีทีวี เริ่มคุกรุ่นมาตั้งแต่ปี 2539 สถานีโทรทัศน์ช่อง 5 ภายใต้การนำพลเอกแป้ง มาลากุล ณ อยุธยา พยายามปรับสไตล์การบริหารจากระบบราชการมาสู่การบริหารงานแบบเอกชน พร้อมด้วยมาตรการขยายช่วงเวลาไพร์มไทม์ เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันกับเจ้าตลาดเดิม แต่หันไปทำรายได้จากช่วงเวลาอื่นๆ แทนสร้างดีกรีการแข่งขันได้ไม่น้อย

ด้านสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ใช้มาตรการแบบชกตรงๆ เต็มๆ เฉพาะอย่างยิ่งนโยบายที่ไม่คิดค่าเช่าสถานีเหมือนกับสถานีโทรทัศน์ช่องอื่นๆ แต่ใช้วิธีแบ่งค่าโฆษณาได้กลายเป็นหมากเด็ดที่ตีกระหน่ำมาที่ช่อง 7 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเช่นนี้ ช่อง 3 ได้กลายเป็นแหล่งรวมซอฟต์แวร์ เมื่อบรรดาผู้ผลิตรายการไม่สามารถแบกรับกับค่าเช่าจากสถานีโทรทัศน์ช่องอื่น หันมาซบอกช่อง 3 กันเป็นแถว

เรตติ้งคนดูในช่วงปลายปี 2540 จึงตกเป็นของสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ที่บุกอย่างหนักด้วยละครหลังข่าว ซึ่งนำเสนอละครแนวใหม่ เพื่อเจาะใจคนดูระดับชนชั้นกลางถึงบน แทนที่จะเป็นระดับล่าง อันเป็นกลุ่มคนดูที่ช่อง 7 ครองส่วนแบ่งตลาดอยู่

แน่นอนว่า เมื่อโดนลูบคมอย่างหนักแบบนี้ช่อง 7 ย่อมไม่อาจอยู่เฉยได้อีก ไม่เพียงแค่มาตรการลดแลกแจกแถมที่มีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 10 กว่าปีของสถานีโทรทัศน์ช่องนี้ ที่ได้ชื่อว่ายึดสไตล์อนุรักษนิยมมาตลอดเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารงานภายในองค์กรของช่อง 7

"เราไม่เคยยึดติดกับรูปแบบเดิมๆ ธุรกิจทีวีนั้นจะอยู่นิ่งกับที่ไม่ได้" คำกล่าวของสุรางค์ เปรมปรีดิ์ กรรมการ รองผู้จัดการ ของกรุงเทพฯ โทรทัศน์และวิทยุ ที่บอกถึงการปรับตัวของช่อง 7

อย่างที่รู้ว่า การดำเนินงานของสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 จะอยู่ภายใต้บังเหียนของสองพี่น้องแห่งตระกูลกรรณสูต ชาติเชื้อ กรรณสูต และสุรางค์ เปรมปรีดิ์ ผู้ซึ่งได้ชื่อว่ามีบทบาทอย่างมากในช่วงการเติบโตของช่อง 7 ในช่วงสิบกว่าปีมานี้

แต่ช่วงภาวะเศรษฐกิจขาลงและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นเช่นนี้ การบริหารงานในรูปแบบเดิมๆ ที่อาศัยการตัดสินใจของคนไม่กี่คน คงไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้อีกต่อไป งานนี้ทำเอาธนาคารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทกรุงเทพฯ โทรทัศน์และวิทยุ จึงต้องเริ่มเข้ามามีส่วนร่วมบริหารงานเป็นครั้งแรก

"ปัญหาเวลานี้ของช่อง 7 คือ เราเป็นผู้นำจนชิน คือ ไม่รู้จักแพ้ และพอเราเผลอ คู่แข่งซึ่งเขามีความคล่องตัวมากกว่าทั้งในเรื่องตลาด เรื่องการกำหนดราคาและรายการ ก็เข้ามาแย่งชิงตลาด" รังสรรค์ อนันตกูล ผู้จัดการสำนักประธานกรรมการ บริษัทกรุงเทพฯ โทรทัศน์และวิทยุกล่าว

รังสรรค์ อนันตกูล เป็นอดีตผู้บริหารของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ที่ย้ายมาร่วมงานกับช่อง 7 พร้อมกับสุธรรม พงศ์สำราญ และทีมงานอีก 1 คน ตั้งแต่ปีที่แล้ว ตามนโยบายของกฤตย์ รัตนรักษ์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทกรุงเทพฯ โทรทัศน์และวิทยุ ที่ต้องกระโดดเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารงานในช่อง 7 เพราะเริ่มมองเห็นเค้าความยากลำบากของช่อง 7 ในวันข้างหน้า

ตามแนวคิดของกฤตย์ ก็คือ การมีระบบงานที่ดีและทีมงานทันสมัย จะช่วยให้ช่อง 7 สามารถฟันฝ่ากับปัญหาไปได้

นับเป็นครั้งแรกที่สถานีโทรทัศน์ช่อง 7 มีคณะกรรมการบริหารในบริษัท อันประกอบไปด้วย ชาติเชื้อ กรรณสูต สุรางค์ เปรมปรีดิ์, ชลอ นาคอ่อน, รังสรรค์ อนันตกูล, พร อุดมพงศ์ และสุรินทร์ สงวนดิษฐ์ ซึ่งสองคนหลังนั้นเป็นอดีตผู้บริหารระดับสูงของกรมประชาสัมพันธ์ ที่ถูกทาบทามให้มานั่งเป็นที่ปรึกษาให้กับช่อง 7

"ทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นการบริหารงาน หรือ การกำหนด รูปแบบรายการ จะต้องผ่านคณะกรรมการบริหารที่จะร่วมกันตัดสินใจ ซึ่งวิธีนี้จะทำให้การบริหารเป็นระบบมากขึ้น และผ่านการกลั่นกรองของคนหลายคน"

ตามแนวคิดของอนันต์นั้น มองว่า เวลานี้ช่อง 7 มีจุดแข็งในเรื่องรายการลูกค้าที่เป็นตลาดล่าง ซึ่งช่อง 7 มีอยู่อย่างเพียงพอแล้ว แต่สิ่งที่ยังขาดอยู่ก็คือ รายการสำหรับกลุ่มลูกค้าระดับกลางและบนและกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งยังเป็นจุดอ่อนของช่อง 7

ศูนย์ส่งเสริมการผลิตรายการถูกจัดตั้งขึ้นด้วยแนวคิดดังกล่าว โดยมีชลอ นาคอ่อน ผู้จัดการฝ่ายโฆษณาหนึ่งในลูกหม้อของช่อง 7 มาทำหน้าที่เป็นผู้จัดการ

แหล่งข่าวกล่าวว่า หน้าที่ของศูนย์ส่งเสริมรายการ จะเหมือนกับเป็นหน่วยตรวจสอบคุณภาพทางด้านรายการ ที่จะดูแลในเรื่องรายการของช่อง 7 ทั้งการปรับปรุงคุณภาพ และการคัดเลือกรายการใหม่

ด้วยเหตุนี้จึงเป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่ช่อง 7 เปิดกว้างสำหรับผู้ผลิตรายการหน้าใหม่ๆ เข้าในสังกัด ไม่ว่าจะเป็น นพพล โกมารชุน, ฉลอง ภักดีวิจิตร และค่ายของอัครเศรณี ซึ่งแต่เดิมจะมีเพียงแค่ค่ายกันตนาและดาราวิดีโอ ที่เรียกได้ว่าผูกขาดผลิตรายการให้กับช่อง 7 มาโดยตลอด

เช่นเดียวกับรายการข่าว ซึ่งสุรางค์จัดภารกิจอันดับ 1 จะมีการปรับปรุงให้มีการนำเสนอข่าวในเชิงลึกมากขึ้น และหันมาเน้นข่าวเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับภาวะในปัจจุบันมากขึ้น

การเป็นองค์กร "ปิด" ของช่อง 7 ที่ขึ้นชื่อลือชาก็อีกสาเหตุหนึ่งที่ผู้บริหารของช่อง 7 วิเคราะห์กันว่า เป็นจุดเดียวที่ทำให้ช่อง 7 ต้องเพลี่ยงพล้ำให้กับช่อง 3 เพราะหากมองในด้านอื่นๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นในด้านเครือข่ายและรายการ ช่อง 7 ก็ยังเชื่อว่าไม่เป็นรองใคร อ่อนแต่เพียงแค่ประชาสัมพันธ์เท่านั้น

ไม่เพียงงานเลี้ยงน้ำชาของช่อง 3 ที่ประวิทย์ มาลีนนท์ มาพบปะกับสื่อมวลชนทุกเดือนแล้ว ยิ่งในยุคใหม่ช่อง 5 กองทัพบก ภายใต้การนำของพลเอกแป้ง มาลากุล ณ อยุธยา ก็ยังเปิดกว้างสู่ยุคใหม่กันแล้ว การที่ช่อง 7 จะปิดตัวก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องอีกต่อไป

งานสายสัมพันธ์ช่อง 7 สี จึงมีขึ้นเพื่อเป็นงานพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผู้บริหารของช่อง 7 และผู้จัดละครทั้งหลาย เอเยนซี่และสื่อมวลชน ซึ่งงานช่อง 7 สี ขนเอาผู้บริหารออกมาอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา จะขาดแต่เพียงชาติเชื้อ กรรณสูต ที่ป่วยต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเท่านั้น

แม้ผู้บริหารจะบอกว่า งานนี้จะจัดขึ้นเพียงแค่ปีละ 2 ครั้ง แต่ก็ถือว่าเป็นการปรับตัวครั้งใหญ่ของช่อง 7 ที่แม้จะล่าช้าไปบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย และการทวงแชมป์ของช่อง 7 สีครั้งนี้ อาจทำให้ช่องอื่นๆ ต้องเปลี่ยนแปลงกันอีกระลอกใหญ่ก็เป็นไปได้

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us