ในยามที่รุ่งเรืองบริษัทอุตสาหกรรมขนาดยักษ์อย่างเครือซิเมนต์ไทย ซึ่งมีบริษัทลูก
หลาน เหลน มากมายอันจะเกื้อหนุนกันได้แบบครบวงจรแห่งนี้ขยายตัวอย่างรวดเร็วราวติดปีก
มีการลงทุนขนาดใหญ่ครั้งละหลายพันหลายหมื่นล้านมาให้ตื่นเต้นกันอยู่เสมอ
ทั้งการลงทุนในประเทศและต่างประเทศ แต่ในยามที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจเช่นทุกวันนี้
เครือซิเมนต์ไทยก็ได้รับบทเรียนราคาแพงไม่แพ้ค่ายอื่นๆ
การขาดทุนทางด้านอัตราแลกเปลี่ยนนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเพียงตัวเลขทางบัญชีที่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้
หากเครือซิเมนต์ไทยสามารถต่อรองขอยืดอายุการชำระหนี้ออกไป เพื่อรอให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นโดยลำดับ
ที่ขาดทุนนับหมื่นล้านบาท ก็อาจจะเพียงแค่หลักพันล้านหรือร้อยล้านเท่านั้น
แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นเรื่องยากยิ่งนักที่จะแก้ไข หยุดยั้ง หรือบรรเทา ก็คือการขยายการลงทุนมากเกินไป
ซึ่งมิใช่แต่ลำพังบริษัทแม่อย่างปูนซิเมนต์ไทยเท่านั้น บริษัทลูกในไส้ ลูกนอกไส้
หลานนอก หลานใน แม้กระทั่งเหลนก็ดูเหมือนจะไม่แตกต่างกันนัก
บริษัทสยามอุตสาหกรรมยิปซัม ดูจะเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในเรื่องของกำลังการผลิตที่ขยายกันจนเหลือเฟือ
ถึง 80 ล้านตารางเมตรต่อปี สำหรับ 3 โรงงาน คือที่นวนคร 20 ล้านตารางเมตร
สระบุรี 40 ล้านตารางเมตร และโรงงานใหม่ล่าสุดเพิ่งเปิดดำเนินการที่หาดใหญ่
จ.สงขลา อีก 20 ล้านตารางเมตร
แต่เชื่อหรือไม่ว่าสยามยิปซัมใช้กำลังการผลิตจริงเพียง 26 ล้านตารางเมตรต่อปีเท่านั้น!!!
ต่อให้ไม่นับรวมที่สงขลาเพราะเพิ่งอยู่ในระยะทดลองเดินเครื่องจักร การใช้กำลังการผลิตจริงก็ยังต่ำกว่าที่สามารถผลิตได้กว่าเท่าตัว
อย่างนี้ใครจะไปทนไหว
ขจรเดช แสงสุพรรณ กรรมการผู้จัดการสยามยิปซัม ขวัญใจสื่อมวลชน กล่าวยอมรับอย่างตรงไปตรงมาตามสไตล์
ว่า "กำลังการผลิตที่เหมาะสม ควรจะเดินเครื่องประมาณ 65% ขึ้นไป"
แต่ ณ วันนี้ โรงงานที่สระบุรีใช้กำลังการผลิต 65% โดยผลิตเพื่อขายภายในประเทศ
โรงงานที่นวนครเดินเครื่อง 40% เน้นการผลิตเพื่อส่งออก เพราะสะดวกในการขนส่งไปท่าเรือทั้งที่คลองเตยและมาบตาพุด
ส่วนโรงงานเปิดใหม่ที่สงขลาเพิ่งใช้กำลังการผลิตเพียง 5-6% เท่านั้น คาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะสามารถเดินเครื่องได้ประมาณ 50% ซึ่งโรงงานนี้จะผลิตเพื่อส่งออก
70% และขายภายในประเทศอีก 30%
เหตุผลที่การใช้กำลังการผลิตต่ำมาก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจทำให้คาดกันว่า
ยอดขายแผ่นยิปซัมภายในประเทศจะตกลงไปประมาณ 30% จากปีก่อนปริมาณขายรวมทั้งตลาดอยู่ที่
40 ล้านตารางเมตร ปีนี้จะเหลือเพียง 28 ล้านตารางเมตร โดยสยามยิปซัมมีส่วนแบ่งตลาดอยู่
60% หรือคิดเป็น 18 ล้านตารางเมตร
ประกอบกับบริษัทมีนโยบายลดค่าใช้จ่ายทางด้านสินค้าคงคลังลง โดยจะพยายามผลิตให้เพียงพอกับความต้องการของลูกค้าเท่านั้น
ไม่ให้มีสินค้าคลังเหลือมากมายอย่างในอดีต เพราะจะทำให้สิ้นเปลืองในเรื่องของการดูแลรักษาสินค้าและพื้นที่เก็บรักษา
ดังนั้นกำลังการผลิตจึงต้องลดลงไปด้วย
ส่วนในเรื่องการขยายกำลังการผลิตมากเกินไปนั้น คงไม่พ้นเรื่องของการคาดการณ์เศรษฐกิจผิดพลาดเหมือนกับบริษัทอื่นๆ
ดังเช่นโรงงานที่สงขลานั้น กว่าบริษัทจะไหวตัวทันว่าเศรษฐกิจแย่แน่แล้วก็ประมาณปลายปี
2539 มีคำถามว่าทำไมถึงไม่ชะลอการลงทุน
"ตอบตรงๆ เลยนะ มันชะลอไม่ทัน" ขจรเดชกล่าวอย่างมองตากันก็เข้าใจ
เพราะบรรดาสื่อมวลชนทั้งค่ายเล็กค่ายใหญ่ต่างก็ซึ้งใจดีกับคำว่าลงทุนเกินตัว
คาดการณ์เศรษฐกิจผิดพลาดเนื่องจากเจอมากับบริษัท ตัวเองเหมือนกัน
"ตอนนั้นโรงงานก็สร้างเสร็จไปครึ่งโรงแล้ว เครื่องจักร เครื่องมือ
อะไรทุกอย่างก็ซื้อมาแล้ว มันก็ต้องเดินหน้า อีกอย่างเราก็ยังเห็นโอกาสที่จะทำตลาดอยู่บ้าง
เพราะโรงงานที่นั่นจะใช้เป็นฐานในการผลิตเพื่อส่งออกไปมาเลเซียและสิงคโปร์ได้"
ในยามนี้การส่งออกของไทยจะมีข้อได้เปรียบในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้สามารถใช้กลยุทธ์ทางด้านราคา
แย่งส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่งขันได้ ในปีนี้สยามยิปซัมคาดว่า ยอดขายรวมของบริษัทจะเพิ่มขึ้นจาก
1,300 ล้านบาทในปี 2540 เป็น 1,400 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นในส่วนของการส่งออกจาก
300 ล้านบาทในปีก่อน เป็น 400 ล้านบาทในปีนี้ ส่วนยอดขายภายในประเทศนั้น
แม้ว่าปริมาณขายคาดว่าจะลดลงประมาณ 30% แต่บริษัทได้ปรับราคาขายเพิ่มขึ้น
15% เมื่อเดือนมกราคม ทำให้ตัวเลขยอดขายในประเทศยังคงอยู่ในระดับ 1,000 ล้านบาทเท่ากับปีที่ผ่านมา
ขจรเดช ให้เหตุผลถึงการปรับราคาครั้งแรกในรอบ 8 ปีว่า "ต้นทุนของเราสูงขึ้นมาก
โดยเฉพาะในเรื่องของเยื่อกระดาษ ซึ่งเป็นต้นทุนถึง 65% ส่วนหนึ่งเราซื้อจากบริษัทในเครือและอีกส่วนหนึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
ในเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมาราคาเยื่อกระดาษเพิ่มขึ้นประมาณ 35%"
อย่างไรก็ตามบริษัทยังไม่มีนโยบายจะปรับราคาอีก เนื่องจากปัจจุบันซัปพลายล้นตลาดอยู่มาก
และการแข่งขันค่อนข้างสูง สิ่งที่ขจรเดชย้ำอยู่ทุกลมหายใจในขณะนี้คือการมุ่งเน้นไปที่ตลาดต่างประเทศ
ซึ่งยังมีโอกาสอยู่มาก เนื่องจากมาเลเซียและสิงคโปร์ไม่มีแร่ยิปซัม ต้องซื้อแร่จากไทยทำให้ต้นทุนในการผลิตสูง
ขณะที่สยามยิปซัมมีโรงงานอยู่ที่สงขลา ซึ่งสามารถผลิตและขนส่งไปยังมาเลเซียและสิงคโปร์ได้ง่าย
ดังนั้นใน 2 ประเทศนี้มีโอกาสเพิ่มยอดขายได้อีกมาก
ส่วนจีน สยามยิปซัมได้เข้าไปลงทุนสร้างโรงงานที่เมืองเทียนจิน ซึ่งอยู่ติดชายทะเล
เป็นมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 35 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการได้ในเร็วๆ
นี้ โรงงานดังกล่าวมีกำลังการผลิตปีละ 20 ล้านตารางเมตร โรงงานนี้จะใช้เป็นฐานในการเจาะตลาดที่เสฉวน
เซี่ยงไฮ้ และมณฑลอื่นๆ โดยเฉพาะทางภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ในส่วนของจีนตอนใต้อาจจะส่งออกจากโรงงานในไทยไป
ตลาดนิวซีแลนด์ ออสเตรเลียนั้น สินค้าจากไทยจะได้เปรียบในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน
รวมถึงตลาดฟิลิปปินส์ด้วย ขจรเดชตั้งเป้าว่า จะสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในฟิลิปปินส์จาก
15% เป็น 40% ในปีนี้
แต่ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือตลาดอินโดนีเซีย สยามยิปซัมเข้าไปร่วมทุนกับวิงส์กรุ๊ปสร้างโรงงานขึ้นที่เมืองจาการ์ตาร์
โดยใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 36.5 ล้านเหรียญสหรัฐ โรงงานแห่งนี้มีกำลังการผลิต
20 ล้านตารางเมตรต่อปี คาดว่าจะเสร็จในเร็วๆ นี้
"ที่นี่คงเหนื่อย เพราะมีคู่แข่งอีก 4 รายที่สร้างโรงงานใหม่ และกำลังจะเสร็จพร้อมๆ
กับเราการแข่งขันจะรุนแรงมาก เราได้ทำการตลาดอย่างจริงจังมาก่อนหน้านี้แล้ว
และมีการจับมือกับกลุ่มบริษัทชั้นนำของอินโดนีเซีย ทำให้ได้เปรียบในเรื่องของการกระจายสินค้า"
ขจรเดชกล่าว
นอกจากนี้สยามยิปซัมยังมีการส่งออกไปยังตะวันออกกลาง พม่า และเวียดนามด้วย
ตลาดเหล่านี้ยังมีโอกาสขยายตัวได้
ช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมายอดขายในส่วนของการส่งออกเข้าเป้าทุกเดือน คงต้องลุ้นกันต่อไปว่าอีก
8 เดือนที่เหลือจะเป็นเช่นไร เพราะเงินบาทก็แข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ ความได้เปรียบในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนก็ลดลง
ขจรเดชมั่นใจว่าถ้าไม่แข็งเกิน 35 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐแล้วล่ะก็ ไม่น่าจะมีปัญหา
สำหรับตลาดในประเทศ ขจรเดชหวังรุกต่างจังหวัดมากขึ้น โดยการออกผลิตภัณฑ์ใหม่
2 ผลิตภัณฑ์ คือ ระบบผนังภายใน ควิกวอลล์ (Quik wall) ซึ่งเป็นระบบแห้ง กันเสียง
กันความร้อนได้ดี มีน้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย สยามยิปซัมได้ทำการอบรมช่างติดตั้งแผ่นยิปซัม
ปีหนึ่งประมาณ 50 ครั้ง เพื่อรองรับการขยายตลาดด้านนี้
นอกจากนี้ยังได้ผลิตปูนฉาบตราพระอาทิตย์ ซึ่งเป็นปูนสำหรับงานฉาบรอยต่อแผ่นยิปซัม
มีคุณสมบัติ ฉาบลื่น ขัดง่าย ไม่แตกร้าว และสะดวกในการใช้งาน ปูนฉาบตราพระอาทิตย์นี้จะเน้นที่ราคาประหยัด
เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าระดับล่าง
นโยบายของสยามยิปซัมในวันฟ้าไม่ค่อยสวยเช่นนี้ ขจรเดชเน้นที่ปริมาณการขายเป็นหลัก
ราคาถูกไม่เป็นไร ขอให้ขายได้มากเข้าไว้ เพราะตอนนี้กำลังการผลิตเหลือกินเหลือใช้จริงๆ