ขณะที่สถานการณ์ด้านการเงินทรุดตัวหนักลงอีกในช่วงเดือนที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ก็ไหลรูดลงเรื่อยๆ
อีก ผลประกอบการของบริษัทไฟแนนซ์ที่เหลืออยู่ ยิ่งสะท้อนความยากลำบากในการประคองตัวให้อยู่รอดได้
ในท่ามกลางมรสุมหนักที่กระหน่ำอยู่เช่นนี้
บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานบทวิเคราะห์ผลการดำเนินงานของบริษัทไฟแนนซ์
16 แห่งที่จดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์ พบว่า กำไรสุทธิของ 16 บริษัทดังกล่าวตกลงอย่างแรงถึงร้อยละ
450.40 (เทียบกับงวด 9 เดือนแรกของปีที่ลดลงร้อยละ 95.87)
ทั้งนี้ ไม่ว่าจะพิจารณาผลประกอบการด้านใดก็ตาม ล้วนแต่ประสบปัญหาถดถอยอย่างรุนแรงทั้งสิ้น
- อัตราการขยายตัวของเงินกู้ยืมติดลบ 10.83% (ภาพรวมทั้งระบบ) สาเหตุเพราะประชาชนลดความนิยมในการฝากเงินกับบริษัทเงินทุนลงอย่างชัดเจน
วิกฤตศรัทธาที่ประชาชนมีต่อบริษัทเงินทุน ได้ก่อให้เกิดกระแสการไหลออกอย่างหนักและต่อเนื่องของเม็ดเงินฝาก
ไปสู่ระบบธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะกับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคงกว่า
- เงินให้กู้ยืมและลูกหนี้ธุรกิจเงินทุนปรับตัวลดลงร้อยละ 6.62 เมื่อเทียบกับปี
2540 ซึ่งก็เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวลง และการปล่อยกู้ที่ต้องดำเนินไปอย่างระมัดระวัง
- ลูกหนี้ธุรกิจหลักทรัพย์ลดลง ทั้งเหตุจากภาวะถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ
วิกฤตในภาคสถาบันการเงิน ความไร้เสถียรภาพของค่าเงิน ลูกหนี้ธุรกิจหลักทรัพย์ของ
12 บงล.ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯลดลงร้อยละ 65.86 เทียบกับปีก่อนหน้า
- ดอกเบี้ยค้างรับ เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าตัว จากยอด 6.48 พันล้านบาทในสิ้นปี
2539 มามีมูลค่าเท่ากับ 14.72 พันล้านบาทในสิ้นปี 2540
- ยอดกันไว้เผื่อหนี้สงสัยจะสูญมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากจากสิ้นปี
2539 ที่มีมูลค่าเพียง 6.61 พันล้านบาท มาเป็น 36.32 พันล้านบาท ทั้งนี้เพราะเกิดสภาพลูกหนี้ที่มีปัญหาจำนวนมากในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจเช่นนี้
บวกกับการประกาศเกณฑ์ใหม่เกี่ยวกับการจัดชั้นสินทรัพย์และการกันสำรอง ซึ่งมีความเข้มงวดขึ้น
- รายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผล ยังมีอัตราการขยายตัวที่เป็นบวกได้ ร้อยละ
7.57 เทียบกับสิ้นปี 2539 ทั้งนี้เหตุมาจากการทรงตัวอยู่ในระดับสูงของอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ในช่วงปี
2540 ที่ผ่านมา
- รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยในสิ้นปี 2540 ได้ทรุดตัวลงอย่างหนัก จากที่เคยมีรายได้
6.45 พันล้านบาทในสิ้นปี 2539 มาเป็นรายได้ติดลบ 3.80 พันล้านบาทในสิ้นปี
2540
- ค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมเงิน มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.56 แม้ว่าอัตราการขยายตัวของเงินกู้ยืมในปี
2540 จะลดลงอย่างมาก โดยติดลบร้อยละ 10.83 แต่ค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมกลับวิ่งสวนทาง
ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าสภาพคล่องในระบบการเงินมีปัญหามาก และภาวะเงินตึงก็ยังคงดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องมาในปีนี้ด้วย
ต้นทุนในการกู้ยืมเงินยังสูงมากแม้ปริมาณเงินกู้ยืมจะลดน้อยลง
- ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมีอัตราลดลง แต่ไม่มากนัก คือเพียงร้อยละ 1.75
เท่านั้น แม้บริษัทจะควบคุมเรื่องต้นทุนด้วยการปรับลดพนักงาน แต่ก็ยังมีค่าใช้จ่ายในเรื่องของการจ่ายชดเชยอยู่
- กำไรสุทธิ มีการปรับตัวลดลงจากปี 2539 ถึงร้อยละ 450.40 โดยมีผลขาดทุนสุทธิรวม
33.06 พันล้านบาท จากที่เคยมีกำไรสุทธิรวมในปี 2539 จำนวน 9.44 พันล้านบาท
ตัวเลขผลขาดทุนนี้เป็นไปตามที่หลายฝ่ายได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า สาเหตุมีหลายประการคือ
ผลกระทบจากการสั่งปิดดำเนินการชั่วคราวของทางการ ที่ทำให้บริษัทล้วนต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนสภาพคล่องและต้นทุนของเงินที่แพงขึ้น
ภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของสินเชื่อและการถดถอยในคุณภาพหนี้
ความผันผวนของค่าเงินในประเทศซึ่งทำให้เกิดผลการขาดทุนจากการปริวรรตเงินตรา
รวมทั้งภาวะซบเซาต่อเนื่องของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุนโดยแสดงตัวเลขขาดทุนอย่างหนัก
และสาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งคือการเร่งกันสำรองมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์การจัดชั้นสินทรัพย์
(การปรับหลักเกณฑ์ดอกเบี้ยค้างรับจาก 12 เดือนเป็น 6 เดือน) และการกันสำรองใหม่ของทางการในส่วนของหนี้จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐานในสัดส่วน
20%
นี่คือภาพของผลกระทบจากมรสุมทางเศรษฐกิจลูกแรกๆ ที่กระหน่ำสถาบันการเงินไทย
กว่าที่บริษัทเหล่านี้จะฟื้นคืนฐานะขึ้นมาได้นั้น คงต้องใช้เวลาอีกนาน และในระหว่างนั้น
ยังไม่ทราบว่าจะมีผู้ใดสูญหายไปอีกบ้าง