ผมได้มีโอกาสชมภาพยนตร์เรื่องนี้หลังจากการประกาศรางวัลออสการ์ ที่ดูเหมือนจะเป็นที่สนใจในบ้านเรามากกว่ารางวัลพระสุรัสวดีเสียอีก
ไม่ว่าจะเป็นรายการโทรทัศน์ หรือวิทยุในบ้านเรา รวมไปถึงคอลัมนิสต์ทั้งหลายต่างพากันเอาบทวิจารณ์จากต่างประเทศมาสรุปให้ฟังกัน
คงเรียกได้ว่าในยุคนี้ถ้าใครไม่ติดตาม ก็คงจะคุยกับชาวบ้านไม่รู้เรื่อง
สำหรับผมเองโดยความรู้สึกส่วนตัวแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้น่าสนใจ และดูสนุกกว่าไททานิคที่หลายคนชื่นชอบ
ในแง่ของหนังชีวิตเบาๆ ที่ดูง่าย มีอารมณ์ขัน ให้ความรู้สึกอบอุ่น และจบลงแบบที่เวลาเดินออกจากโรงแล้ว
ผู้ชมก็ยังคงรู้สึกผ่อนคลายกับภาพยนตร์
ตัวละครที่น่าสนใจที่สุดก็คงจะไม่พ้น แจ๊ค นิโคลสัน ที่เล่นเป็นนักเขียนเจ้าอารมณ์
ปากร้ายที่ดูเสมือนว่า เขาต้องพยายามอดทนกับคนอื่น ซึ่งนิโคลสันแสดงได้เยี่ยมมาก
แต่แท้ที่จริงแล้ว คนที่อยู่แวดล้อมเขาต้องเป็นฝ่ายอดทนกับอารมณ์และนิสัยที่แปรปรวนของเขา
ตัวละครที่นิโคลสันเล่นนั้น ดูเหมือนจะหลุดออกมาจากโลกที่ไม่มีอยู่จริง
คนที่เหยียดหยาม ไร้น้ำจิตน้ำใจกับผู้อื่น แต่ถ้าสังเกตหลายสิ่งหลายอย่าง
ที่นิโคลสันแสดงออกมาให้เห็นในทุกฉากที่เขาปรากฏตัวออกมา เราจะพบว่า เขาป่วยเป็นโรคที่เรียกกันว่า
โรคย้ำคิดย้ำทำ (obsessive-compulsive disorder) เราจะเห็นลักษณะที่เขาทำอะไรซ้ำๆ
เป็นแบบแผน เช่น การปิดประตู และใส่กุญแจห้อง การสั่งอาหารเช้าแบบเดียวกันทุกมื้อ
หรือการนั่งโต๊ะประจำ (จนต้องหาเรื่องไล่คนอื่นที่มานั่งที่นั่งประจำของเขา)
การที่ต้องการคนเสิร์ฟประจำ (จนต้องหากุมารแพทย์มารักษาลูกของเฮเลน ฮันท์
เพียงเพื่อให้เธอสามารถกลับมาบริการเขาได้ตามปกติ) ก็เช่นกัน หรือลักษณะรักความสะอาด
และกลัวเชื้อโรค เช่น การที่ใช้สบู่ฟอกมือหลายก้อน การใช้น้ำร้อนล้างมือ
การใช้ช้อนมีดพลาสติกส่วนตัว หรือ การอาบน้ำเป็นชั่วโมงสำหรับการนัดครั้งแรก
และการต้องลงทุนซื้อสูทใหม่เพียงเพราะไม่ต้องการใช้สูทของร้านอาหาร ลักษณะการเชื่อโชคลางก็เช่นกัน
นิโคลสันแสดงให้เราเห็นถึงการปิดเปิดล็อกประตูหลายครั้ง การเปิดปิดสวิตช์ไฟ
รวมไปถึงการเดินในลักษณะที่ไม่ยอมเหยียบลายกระเบื้อง หรือรอยต่อ เพราะคนที่เป็นโรคนี้เชื่อว่า
หากทำอะไรผิดไปจะทำให้เกิดโชคร้ายกับชีวิตของเขา
เราจะเห็นว่าตัวละครที่นิโคลสันเล่นนั้นอาจจะดูเกินจริงไป เป็นตัวละครที่อยู่กับเหตุและผลของตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสะอาด การทำอะไรซ้ำๆ หรือการเชื่อถือโชคลาง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นรูปแบบที่แน่นอนและตายตัว
และตัวละครนี้เองใช้เหตุผลของตัวเองไปควบคุมและบังคับให้ผู้อื่นอยู่ภายใต้กรอบเดียวกับตน
เช่นนิโคลสันถือว่า หน้าที่ของฮันท์คือการบริการตัวเขา หรือจิตรกรเกย์คนนั้นควรจะรู้และเคารพการอยู่ในห้องส่วนตัวของเขา
ตัวละครที่นิโคลสันเล่นถ้าตัดอาการป่วยของโรคออกไป เขาก็เป็นเสมือนภาพสะท้อนของคนที่เราพบได้ทั่วไปในสังคม
คนซึ่งมักจะเป็นหัวหน้า หรือผู้บังคับบัญชาที่มีกฎเกณฑ์และเหตุผลตามที่ตัวเองเชื่อ
แล้วนำไปครอบหรือบังคับให้ลูกน้องทำตาม คนซึ่งหากกฎเกณฑ์ที่ตัวเองยึดถือ
ไม่เป็นไปตามที่มันเคยเป็น เขาจะทนไม่ได้เหมือนกับว่าโลกกำลังจะพังทลายลง
สิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้บอกกับเราคือ เหตุผลของคนเช่นนี้เอาชนะได้ด้วยการพยายามเข้าใจและอดทน
พร้อมกับการให้เขาได้สัมผัสกับโลกที่ไม่ใช่มีแต่เหตุและผลเท่านั้น แต่โลกที่มีอารมณ์ความรู้สึก
โลกที่มีทั้งความรื่นเริงและความโศกเศร้า โลกที่ไม่มีอะไรเพียบพร้อมสมบูรณ์
โลกซึ่งมักจะไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวัง รวมไปถึงความทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้น
บางทีอาจจะไม่ใช่ความทุกข์ของเรา แต่เป็นความทุกข์ที่เกิดจากความเห็นอกเห็นใจในชะตากรรมของเพื่อนมนุษย์