มีการระบุว่ารัฐบาลไทยได้เขียนหนังสือแจ้งความจำนง ขอรับความช่วยเหลือทางวิชาการและการเงิน
จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ ทั้ง 3 ฉบับ ซึ่งเป็นข้อผูกมัดที่รัฐบาลไทยต้องปฏิบัติตามฉบับที่
1 ลงวันที่ 15 กันยายน 2540
ข้อ 7. ระบุว่าเป้าหมายในระยะปานกลางด้านอื่น ได้แก่
- การปฏิรูประบบราชการ
- เพิ่มการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในโครงการที่เกี่ยวกับการขนส่งและพลังงานในลักษณะ
BOT (Build-Operate-Transfer Arrangements)
- โครงการร่วมทุนและการแปรรูปรัฐวิสาหกิจในสาขาพลังงาน การขนส่ง และโทรคมนาคม
นอกจากนี้ในปีงบประมาณ 2541 ประเทศไทยมีแผนจะดำเนินการแปรรูปสายการบินแห่งชาติ
และเพิ่มบทบาทของภาคเอกชนในสาขาไฟฟ้า โทรคมนาคมและก๊าซ โดยจะมีการปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ
รวมไปถึงกฎหมายร่วมทุน (corporatization law) การดำเนินการในส่วนนี้จะต้องมีการแยกบัญชี
และไม่นำไปรวมกับการบริหารงบประมาณปกติ และการดำเนินการในส่วนนี้จะดำเนินการภายใต้การปรึกษาหารือกับเจ้าหน้าที่
IMF อย่างใกล้ชิด
ข้อ 18 ทางการยังคงยืนยันที่จะดำเนินนโยบาย ในการปรับปรุงฐานะการเงินของรัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องกัน
กับเป้าหมายเกินดุลภาครัฐบาลร้อยละ 1 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศในปีงบประมาณ 2541
และรักษาระดับการเกินดุลดังกล่าวให้คงอยู่ในระยะปานกลาง โดยจะมีการควบคุมการใช้จ่ายเงินทุนและมีการจัดลำดับความสำคัญของโครงการ
ตลอดจนเน้นการลงทุนในโครงการพื้นฐานที่สำคัญ รวมทั้งโครงการอื่นๆ ที่ได้รับความช่วยเหลือจากธนาคารโลกและธนาคารพัฒนาเอเชีย
สำหรับโครงการรัฐวิสาหกิจที่มีความสำคัญอาจพึ่งพาแหล่งทุนจากต่างประเทศได้
แต่ฐานะรวมทั้งหมดของภาครัฐวิสาหกิจจะต้องสมดุล โดยการตัดลดการลงทุนที่มีความสำคัญน้อย
เน้นการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในโครงการลงทุนของรัฐวิสาหกิจบางอย่าง ซึ่งรวมถึงโครงการทางด่วน
โครงการผลิตไฟฟ้า ทั้งนี้การพิจารณาทบทวนโครงการการลงทุนของภาครัฐ จะมีการร่วมหารือกับธนาคารโลกและธนาคารพัฒนาเอเชีย
(ADB)
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการทำให้ฐานะรวมของรัฐวิสาหกิจสมดุล จะต้องมีการปรับค่าบริการของรัฐวิสาหกิจและค่าสาธารณูปโภคต่างๆ
ให้สะท้อนถึงต้นทุนของการให้บริการอย่างที่จริง รวมถึงต้นทุนที่ลงทุนใหม่และลงทุนทดแทน
ในขณะที่ราคาน้ำมันและต้นทุนด้านพลังงานได้มีการปรับไปแล้ว เพื่อชดเชยผลกระทบจากการปรับค่าเงินบาท
อย่างไรก็ตามอัตราค่าบริการของรถประจำทางที่ไม่ปรับอากาศและค่าโดยสารรถไฟธรรมดา
ยังอาจจะอยู่ในราคาที่ต่ำกว่าต้นทุนเป็นการชั่วคราว โดยได้รับอุดหนุนจากรัฐบาล
ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2540
ข้อ 17 ระบุว่าการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นเป้าหมายหลัก เป้าหมายหนึ่งในระยะปานกลางของแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ทางการได้ดำเนินการร่างแผนงานเบื้องต้นในการเพิ่มบทบาทของภาคเอกชนในสาขาพลังงาน
สาธารณูปโภค การสื่อสารและการขนส่ง คาดว่าจะมีการประกาศแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนในสาขาเหล่านี้ได้ภายในเดือนมิถุนายน
2541 รัฐวิสาหกิจที่ได้ดำเนินการแปรรูปเป็นบริษัทจำกัดแล้ว แต่รัฐบาลยังถือหุ้นใหญ่อยู่
จะถูกแปรรูปก่อนรัฐวิสาหกิจอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทางการจะลดสัดส่วนการถือหุ้นในสายการบินแห่งชาติ
(ปัจจุบันร้อยละ 90) และบริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด (ปัจจุบันร้อยละ 80)
ให้เหลือต่ำกว่าร้อยละ 50 ภายในกลางปี 2541 ถ้าภาวะตลาดเอื้ออำนวย ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถเสนอให้รัฐสภา
พิจารณากฎหมายที่จำเป็นในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่มีการแปรรูปเป็นบริษัทจำกัด
ภายในเดือนมิถุนายน 2541
ฉบับที่ 3 ลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2541
ข้อที่ 10 ระบุว่า สำหรับกองทุนฟื้นฟูฯ ทางการตระหนักดีว่า จะต้องมีการปรับโครงสร้างหนี้สินของกองทุนฟื้นฟูฯ
ให้อยู่ในรูปพันธบัตรระยะปานกลางและระยะยาว ที่รัฐบาลค้ำประกันและอัตราดอกเบี้ยต่ำ
และจะต้องรวมภาระดอกเบี้ยจากการปฏิรูปสถาบันการเงิน (รวมทั้งเงินให้กู้ยืมและการถือหุ้นที่กองทุนฟื้นฟูฯ
เป็นผู้รับภาระ ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งธนาคารรัตนสิน และ บบส.) ไว้ในงบประมาณของรัฐบาล
เพื่อให้เกิดความโปร่งใส โดยจะเริ่มรวมภาระดอกเบี้ยของกองทุนฟื้นฟูฯ ไว้ในงบประมาณปี
2541/42 ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถชำระค่าดอกเบี้ยทั้งหมด (สุทธิจากการชำระคืน)
โดยใช้เงินจากงบประมาณได้ภายในปี 2543 ส่วนการชำระคืนต้นเงินกู้นั้น คาดว่าส่วนหนึ่งมาจากรายได้จากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
ที่มา : ผู้จัดการรายวัน