|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ กรกฎาคม 2547
|
|
เป็นความเคลื่อนไหวที่เรียกความฮือฮาได้มากพอควร กับข่าวการประกาศควบรวมกิจการซึ่งกันและกันของเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กับค่ายอีจีวี เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ที่ทั้งคู่ต่างก็เป็นบริษัทจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ความฮือฮาดังกล่าว ไม่เพียงแค่เมื่อทั้ง 2 ค่ายได้ควบรวมกันเสร็จสิ้นแล้วจะกลายเป็นเจ้าตลาดโรงภาพยนตร์ในประเทศไทย ครองส่วนแบ่งตลาดถึง 70% เท่านั้น
แต่ยังหมายรวมถึงทั้ง 2 กิจการซึ่งมีผู้บริหารนามสกุลพูลวรลักษณ์เช่นกัน และมีความเกี่ยวพันเป็นลูกพี่ลูกน้องที่แข่งขันกันทำธุรกิจประเภทเดียวกันมาช้านาน ที่ในที่สุดก็ไม่สามารถแบกรับต้นทุนที่ซ้ำซ้อนกันไว้ได้ไหว ทางออกที่ดีที่สุดคือการรวมกันไปเสียเลย เพื่อจะได้มีอำนาจต่อรองกับสายหนัง ผู้ผลิตภาพยนตร์ และผู้นำเข้าภาพยนตร์จากต่างประเทศเข้ามาฉายใน ประเทศไทย
แต่ที่ฮือฮาหนักที่สุดก็คือนักเล่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะข่าวลือเรื่องการควบรวมกิจการของทั้ง 2 แห่ง ถูกปล่อยออกมาก่อนหน้านั้นเป็นเวลานานแล้ว แต่ทุกครั้งก็ถูกปฏิเสธจาก ผู้บริหารทั้ง 2 ฝ่ายอยู่ตลอดเวลา
ล่าสุดก่อนจะประกาศข่าวการควบรวมกิจการซึ่งกันและ กันออกมาอย่างเป็นทางการเพียง 2 วัน วิชัย พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหารจากค่ายอีจีวี เพิ่งจะออกมาให้สัมภาษณ์ เกี่ยวกับแผนการเพิ่มทุนจดทะเบียน โดยการออกหุ้นสามัญใหม่ เพื่อขายให้กับนักลงทุนประเภทเฉพาะเจาะจง เพื่อนำมาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ
ทำเอานักลงทุนงงจนตัดสินใจทำอะไรไม่ถูก ทันทีที่หุ้นเปิดให้มีการซื้อขายหลังข่าวการควบรวมถูกประกาศอย่างเป็นทางการ หุ้นของทั้ง 2 บริษัทจึงถูกแรงขายกระหน่ำออกมาจนติดลบไปกว่า 10%
ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง deal การควบรวมกิจการกันครั้งนี้คือก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์เอเชีย พลัส ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น Investment Banker ระดับเซียน
ในการควบรวมกิจการกันระหว่างเมเจอร์กับอีจีวีครั้งนี้ จะเป็นการควบรวมโดยไม่ต้องใช้เงินสด แต่จะใช้วิธีการแลกหุ้น โดยเมเจอร์จะเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 772 ล้านบาท เป็น 897 ล้าน บาท และออกหุ้นใหม่จำนวน 125 ล้านหุ้น หลังจากนั้นจะทำคำ เสนอซื้อหุ้นของอีจีวีที่มีอยู่ทั้งหมด 260 ล้านหุ้น และวอร์แรนต์อีก 65 ล้านหน่วย ผู้ถือหุ้นของอีจีวี 2.27426 หุ้น หรือผู้ถือวอร์แรนต์จำนวน 11.44905 หน่วย สามารถนำมาแลกเป็นหุ้นสามัญของเมเจอร์ที่ออกใหม่ได้จำนวน 1 หุ้น
หลังข่าวประกาศควบรวมกิจการระหว่างเมเจอร์และอีจีวี ถูกประกาศออกมา บรรดานักวิเคราะห์ต่างส่งเสียงเชียร์ให้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นของเมเจอร์ เพราะคาดว่าจะได้รับผลบวกจากการควบรวมกิจการ ซึ่งจะทำให้กลายเป็นเจ้าของตลาดโรงภาพยนตร์รายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย
ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่นักวิเคราะห์คาดเดากันไว้หรือไม่ อีกไม่กี่เดือนก็คงจะได้เห็น
|
|
|
|
|