"ขาดทุน 20-30% ทุกโครงการไม่ใช่ขาดทุนกำไรนะ ขาดทุนเนื้อๆ เลย แคชโฟล์เกือบไม่มีเลย
แบงก์เอาไปหมดแต่ลดหนี้ได้เยอะ กล้าพูดอย่างเต็มปากว่าไม่มีกำไร และไม่อายด้วยที่จะบอก"
เศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการบริษัทแสนสิริ จำกัด มหาชน กล่าวยืนยันกับ
"ผู้จัดการรายเดือน" ถึงการที่ตัดสินใจเอาโครงการที่อยู่อาศัยมาลดราคาถึง
50-62% ในขณะที่อีกหลายรายยังรีรอไม่กล้าตัดสินใจ เพราะเมื่อคำนวณดูแล้วถ้ายอมขายในราคาลด
50% จริงๆ ไม่ใช่เป็นการดันราคาขึ้นไปให้สูงก่อนแล้วมาลดราคาละก็ แน่นอนมันย่อมขาดทุนจำนวนมากทีเดียว
และจากการที่กล้าตัดสินใจในเรื่องยอมขาดทุนดังกล่าว เป็นรายแรกๆ ในวงการอสังหาริมทรัพย์นี่เอง
ทำให้เศรษฐาสามารถขายยูนิตที่เหลือในโครงการบ้านพฤกษาศิริ 1 บนถนนเพชรบุรี,
บ้านพฤกษาศิริ 2 ในซอยสวนสวนพลู และโครงการบ้านแสนสราญที่หัวหินไปได้เกือบหมด
ชนิดที่ว่ายกเลิกโฆษณาตามสื่อต่างๆ ไม่ทันเลยเชียว
"สมมติขายได้พันล้านบาท ผมก็ลดหนี้ไปได้พันล้าน ไม่อย่างนั้นแล้ว
ถ้าปีนี้ผมขายไม่ได้พันล้าน ผมต้องเสียดอกเบี้ยประมาณ 200 ล้านบาท ก็เท่ากับต้นทุนเพิ่มขึ้นอีก
20%" เศรษฐาอธิบายเพิ่มถึงเหตุผลที่ทำไป
ทั้ง 3 โครงการของแสนสิริดังกล่าวนั้นสร้างเสร็จทั้งหมดแล้ว และได้เปิดขายมานานประมาณ
2-3 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่วิกฤตทางด้านการเงินของประเทศค่อยๆ ทวีความรุนแรงมาอย่างต่อเนื่อง
นโยบายการขายลดราคาของบริษัทเองจึงได้เริ่มทำมาตั้งแต่กลางปี 2540 ซึ่งก็มีทุกรูปแบบไม่ว่าจะลดแลกแจกแถม
แต่ไม่ได้ผล ยอดขายไม่ได้กระเตื้องขึ้นเลย
จนกระทั่งเดือนมกราคมที่ผ่านมาทางบริษัทได้ตัดสินใจลดราคาลงไปถึง 50% โดยเน้นไปที่โครงการพฤกษาศิริ
1 และ 2 ซึ่งมียูนิตว่างประมาณ 50 ยูนิต ซึ่งผลปรากกฏว่า บริษัทก็สามารถปิดการขาย
2 โครงการดังกล่าวไปได้เรียบร้อย
จากความสำเร็จครั้งนั้น ทำให้เศรษฐาได้จัดแคมเปญพิเศษขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อรับลมร้อนเดือนเมษายนที่ผ่านมาในรายการ
"ช็อค ออน เดอะ บีช" สำหรับโครงการบ้านแสนสราญ หัวหิน โดยลดราคาถึง
50-62% มีประมาณ 60 ยูนิต พื้นที่ประมาณ 100 ตารางเมตร โดยยูนิตที่ไม่ได้อยู่ติดทะเล
หรือเป็นห้องที่ทำเลไม่ดีนัก ได้ลดลงต่ำถึง 62% ซึ่งทำให้ราคาที่ตั้งไว้เดิมประมาณ
5.2 ล้านบาทเหลือเพียง 1.98 ล้าน บาทเท่านั้น
พร้อมๆ กับการกระหน่ำลดราคาของบริษัทแสนสิริ การขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ในตลาดโดยทั่วๆ
ไปนั้นได้ทวีความรุนแรงขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกปีที่ผ่านมา
เป็นที่ยอมรับกันว่า กลยุทธ์ของการลดราคาเพียง 20-30% นั้นไม่ได้ผลในการกระตุ้นยอดขายแต่อย่างใด
หลายโครงการจึงท้าลดกันเต็มที่ถึง 50% เช่นในโครงการบางกอกแลนด์, ไทยวา,
ธนายง, เอ็มไทยเอสเตท, และกฤษดามหานคร ซึ่งทุกโครงการสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ลูกค้าเห็นของจริงและสามารถเข้าอยู่ได้ทันที แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าโครงการเหล่านั้นจะประสบความสำเร็จในการขายทั้งหมด
จุดเด่นของแสนสิรินั้น นอกจากโครงการที่นำมาลดราคานั้นสร้างเสร็จแล้ว ยังเป็นโครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดี
และเป็นโครงการที่อยู่อาศัยขนาดกลางที่ไม่แออัดมากนัก เช่นโครงการพฤกษ์ศิริ
1 ราชเทวี ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1.4 ไร่ มีห้องชุดเพียง 64 ห้อง, พฤกษ์ศิริสวนพลูมีเพียง
58 ห้องบนพื้นที่ 1.3 ไร่ ส่วนโครงการบ้านแสนสราญที่หัวหิน เป็นอาคารชุดพักอาศัยแบบแนวราบจำนวน
310 ห้องบนพื้นที่ 16.7 ไร่ ซึ่งจำนวนยูนิตที่ไม่มากอย่างนี้ ทำให้การบริหารอาคารชุดหลังการเข้าอยู่อาศัย
การเก็บค่าบริหารส่วนกลาง รวมทั้งการดูแลทำความสะอาดก็ไม่น่าจะเป็นปัญหามากนัก
มหกรรมลดราคาทั้ง 3 โครงการนี้ ทำให้กลุ่มแสนสิริมั่นใจว่าจะทำให้มีรายได้เข้ามาไม่ต่ำกว่า
1,000 ล้านบาท และคาดว่าจะทำเรื่องทยอยโอนทุกยูนิตได้ภายในปี 2540 นี้แน่นอน
โดยสถาบันการเงินที่ลูกค้าจะผ่อนต่อก็คือ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์
กสิกรไทย และ ไทยทนุ
"แค่นี้ผมก็แฮปปี้แล้วที่ขายหมด ถึงแม้เงินจะไม่เหลือเพราะต้องใช้หนี้
ส่วนลูกค้าเองก็สบายใจที่ได้เห็นห้องที่เรียบร้อย ยกกระเป๋าเข้าไปได้เลย
แบงก์เองก็ได้เงินคืน" เศรษฐากล่าว
ส่วนแผนงานของบริษัทแสนสิริต่อไปนั้นในระยะเวลา 1-2 ปีนี้ โอกาสที่จะซื้อที่ดินมาเพื่อพัฒนาโครงการเองคงเป็นไปไม่ได้
รวมทั้งโครงการอื่นๆ ที่วางแผนไว้ แต่ยังไม่เริ่มงานก็คงต้องชะลอไปก่อน แต่อาจจะมีความเป็นไปได้ในเรื่องของการร่วมทุน
เพื่อพัฒนาโครงการอื่นๆ ที่ประกาศขาย ซึ่งก็ต้องรอดูเงื่อนไขรายละเอียดในการประมูลจากทาง
ปรส.ก่อน
"ผมก็ไม่รู้ว่าตัดสินใจผิดหรือถูก เกิดในเร็วๆ นี้ตลาดดีขึ้นเท่ากับว่าผมตัดสินใจผิด
แต่ถ้าตลาดแย่ไปอีก 2-3 ปี ผมว่าผมตัดสินใจถูกแน่นอน อาจจะมีผู้ประกอบการบางรายมาโทษว่าผมทำเสียราคาผม
ก็ไม่รู้ล่ะ ในความรับผิดชอบของผม ผมจำเป็นต้องทำ" เศรษฐาสรุป