Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤษภาคม 2541








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤษภาคม 2541
แสนสิริขายหมดจริง แต่..เงินไม่มีเหลือ             
 


   
search resources

แสนสิริ, บมจ.




"ขาดทุน 20-30% ทุกโครงการไม่ใช่ขาดทุนกำไรนะ ขาดทุนเนื้อๆ เลย แคชโฟล์เกือบไม่มีเลย แบงก์เอาไปหมดแต่ลดหนี้ได้เยอะ กล้าพูดอย่างเต็มปากว่าไม่มีกำไร และไม่อายด้วยที่จะบอก"

เศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการบริษัทแสนสิริ จำกัด มหาชน กล่าวยืนยันกับ "ผู้จัดการรายเดือน" ถึงการที่ตัดสินใจเอาโครงการที่อยู่อาศัยมาลดราคาถึง 50-62% ในขณะที่อีกหลายรายยังรีรอไม่กล้าตัดสินใจ เพราะเมื่อคำนวณดูแล้วถ้ายอมขายในราคาลด 50% จริงๆ ไม่ใช่เป็นการดันราคาขึ้นไปให้สูงก่อนแล้วมาลดราคาละก็ แน่นอนมันย่อมขาดทุนจำนวนมากทีเดียว

และจากการที่กล้าตัดสินใจในเรื่องยอมขาดทุนดังกล่าว เป็นรายแรกๆ ในวงการอสังหาริมทรัพย์นี่เอง ทำให้เศรษฐาสามารถขายยูนิตที่เหลือในโครงการบ้านพฤกษาศิริ 1 บนถนนเพชรบุรี, บ้านพฤกษาศิริ 2 ในซอยสวนสวนพลู และโครงการบ้านแสนสราญที่หัวหินไปได้เกือบหมด ชนิดที่ว่ายกเลิกโฆษณาตามสื่อต่างๆ ไม่ทันเลยเชียว

"สมมติขายได้พันล้านบาท ผมก็ลดหนี้ไปได้พันล้าน ไม่อย่างนั้นแล้ว ถ้าปีนี้ผมขายไม่ได้พันล้าน ผมต้องเสียดอกเบี้ยประมาณ 200 ล้านบาท ก็เท่ากับต้นทุนเพิ่มขึ้นอีก 20%" เศรษฐาอธิบายเพิ่มถึงเหตุผลที่ทำไป

ทั้ง 3 โครงการของแสนสิริดังกล่าวนั้นสร้างเสร็จทั้งหมดแล้ว และได้เปิดขายมานานประมาณ 2-3 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่วิกฤตทางด้านการเงินของประเทศค่อยๆ ทวีความรุนแรงมาอย่างต่อเนื่อง นโยบายการขายลดราคาของบริษัทเองจึงได้เริ่มทำมาตั้งแต่กลางปี 2540 ซึ่งก็มีทุกรูปแบบไม่ว่าจะลดแลกแจกแถม แต่ไม่ได้ผล ยอดขายไม่ได้กระเตื้องขึ้นเลย

จนกระทั่งเดือนมกราคมที่ผ่านมาทางบริษัทได้ตัดสินใจลดราคาลงไปถึง 50% โดยเน้นไปที่โครงการพฤกษาศิริ 1 และ 2 ซึ่งมียูนิตว่างประมาณ 50 ยูนิต ซึ่งผลปรากกฏว่า บริษัทก็สามารถปิดการขาย 2 โครงการดังกล่าวไปได้เรียบร้อย

จากความสำเร็จครั้งนั้น ทำให้เศรษฐาได้จัดแคมเปญพิเศษขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อรับลมร้อนเดือนเมษายนที่ผ่านมาในรายการ "ช็อค ออน เดอะ บีช" สำหรับโครงการบ้านแสนสราญ หัวหิน โดยลดราคาถึง 50-62% มีประมาณ 60 ยูนิต พื้นที่ประมาณ 100 ตารางเมตร โดยยูนิตที่ไม่ได้อยู่ติดทะเล หรือเป็นห้องที่ทำเลไม่ดีนัก ได้ลดลงต่ำถึง 62% ซึ่งทำให้ราคาที่ตั้งไว้เดิมประมาณ 5.2 ล้านบาทเหลือเพียง 1.98 ล้าน บาทเท่านั้น

พร้อมๆ กับการกระหน่ำลดราคาของบริษัทแสนสิริ การขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ในตลาดโดยทั่วๆ ไปนั้นได้ทวีความรุนแรงขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกปีที่ผ่านมา เป็นที่ยอมรับกันว่า กลยุทธ์ของการลดราคาเพียง 20-30% นั้นไม่ได้ผลในการกระตุ้นยอดขายแต่อย่างใด หลายโครงการจึงท้าลดกันเต็มที่ถึง 50% เช่นในโครงการบางกอกแลนด์, ไทยวา, ธนายง, เอ็มไทยเอสเตท, และกฤษดามหานคร ซึ่งทุกโครงการสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลูกค้าเห็นของจริงและสามารถเข้าอยู่ได้ทันที แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าโครงการเหล่านั้นจะประสบความสำเร็จในการขายทั้งหมด

จุดเด่นของแสนสิรินั้น นอกจากโครงการที่นำมาลดราคานั้นสร้างเสร็จแล้ว ยังเป็นโครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดี และเป็นโครงการที่อยู่อาศัยขนาดกลางที่ไม่แออัดมากนัก เช่นโครงการพฤกษ์ศิริ 1 ราชเทวี ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1.4 ไร่ มีห้องชุดเพียง 64 ห้อง, พฤกษ์ศิริสวนพลูมีเพียง 58 ห้องบนพื้นที่ 1.3 ไร่ ส่วนโครงการบ้านแสนสราญที่หัวหิน เป็นอาคารชุดพักอาศัยแบบแนวราบจำนวน 310 ห้องบนพื้นที่ 16.7 ไร่ ซึ่งจำนวนยูนิตที่ไม่มากอย่างนี้ ทำให้การบริหารอาคารชุดหลังการเข้าอยู่อาศัย การเก็บค่าบริหารส่วนกลาง รวมทั้งการดูแลทำความสะอาดก็ไม่น่าจะเป็นปัญหามากนัก

มหกรรมลดราคาทั้ง 3 โครงการนี้ ทำให้กลุ่มแสนสิริมั่นใจว่าจะทำให้มีรายได้เข้ามาไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท และคาดว่าจะทำเรื่องทยอยโอนทุกยูนิตได้ภายในปี 2540 นี้แน่นอน โดยสถาบันการเงินที่ลูกค้าจะผ่อนต่อก็คือ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กสิกรไทย และ ไทยทนุ

"แค่นี้ผมก็แฮปปี้แล้วที่ขายหมด ถึงแม้เงินจะไม่เหลือเพราะต้องใช้หนี้ ส่วนลูกค้าเองก็สบายใจที่ได้เห็นห้องที่เรียบร้อย ยกกระเป๋าเข้าไปได้เลย แบงก์เองก็ได้เงินคืน" เศรษฐากล่าว

ส่วนแผนงานของบริษัทแสนสิริต่อไปนั้นในระยะเวลา 1-2 ปีนี้ โอกาสที่จะซื้อที่ดินมาเพื่อพัฒนาโครงการเองคงเป็นไปไม่ได้ รวมทั้งโครงการอื่นๆ ที่วางแผนไว้ แต่ยังไม่เริ่มงานก็คงต้องชะลอไปก่อน แต่อาจจะมีความเป็นไปได้ในเรื่องของการร่วมทุน เพื่อพัฒนาโครงการอื่นๆ ที่ประกาศขาย ซึ่งก็ต้องรอดูเงื่อนไขรายละเอียดในการประมูลจากทาง ปรส.ก่อน

"ผมก็ไม่รู้ว่าตัดสินใจผิดหรือถูก เกิดในเร็วๆ นี้ตลาดดีขึ้นเท่ากับว่าผมตัดสินใจผิด แต่ถ้าตลาดแย่ไปอีก 2-3 ปี ผมว่าผมตัดสินใจถูกแน่นอน อาจจะมีผู้ประกอบการบางรายมาโทษว่าผมทำเสียราคาผม ก็ไม่รู้ล่ะ ในความรับผิดชอบของผม ผมจำเป็นต้องทำ" เศรษฐาสรุป

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us