Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤษภาคม 2541








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤษภาคม 2541
เอไซฯ รุกตลาดยา ส่งยารักษาโรคอัลไซเมอร์สู้ศึก             
 


   
search resources

เอไซ (ประเทศไทย) มาร์เก็ตติ้ง, บจก.




โรคความจำเสื่อม หรือโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer's dise ase) เป็นโรคที่เกี่ยวกับความเสื่อมของเซลล์ประสาทในสมอง ซึ่งจะส่งผลให้เป็นโรคจิตเสื่อมหรือสติเสีย (Dementia) โรคดังกล่าวบางครั้งเรียกว่า โรคสมองฝ่อ หรือสมองเหี่ยว เนื่องจากผู้ป่วยสมองจะฝ่อเล็กลง เนื้อสมองและรอยหยักในสมองลดลง โดยลักษณะอาการของผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์มีอาการตั้งแต่ขี้หลงขี้ลืมธรรมดาทั่วๆ ไป หรือจำเหตุการณ์เรื่องราวในอดีตไม่ค่อยได้ สับสนในเรื่องต่างๆ กระวนกระวาย อารมณ์เปลี่ยนแปลงบ่อย หรือถ้าอาการมากขึ้น ผู้ป่วยจะมีอาการของโรคประสาทอย่างชัดเจน คลุ้มคลั่ง หดหู่ ควบคุมระบบขับถ่ายไม่ได้ จนถึงขั้นมีอาการชักและถึงเสียชีวิต เพราะมีโรคแทรกซ้อนที่เกี่ยวกับการไม่เคลื่อนไหว เนื่องจากสมองไม่สามารถสั่งงานอะไรได้อีก

ในอดีตโรคความจำเสื่อมไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของคนไทยมากนัก แต่ในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมาคนไทยเริ่มให้ความสนใจกันมากขึ้น เนื่องจากอัตราเสี่ยงต่อโรคดังกล่าวของคนไทยมีสูงขึ้นโดยเฉพาะผู้สูงอายุ และในอนาคตประมาณการกันไว้ว่า ผู้ป่วยโรคความจำเสื่อมจะยิ่งมีสูงมากขึ้นตามอัตราความมีอายุยืนของคน

จากความสำคัญดังกล่าว บริษัท เอไซ (ประเทศไทย) มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เป็นบริษัทในเครือของบริษัท เอไซ จำกัด ของประเทศญี่ปุ่น ที่ดำเนินธุรกิจด้านการตลาด ค้นคว้าวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านเวชภัณฑ์สำหรับคนและสัตว์ รวมถึงเครื่องมือทางการแพทย์ และอุปกรณ์เครื่องจักรสำหรับโรงงานผลิตยามาเป็นเวลากว่า 60 ปี โดยมีเครือข่ายอยู่กว่า 60 ประเทศทั่วโลก ในปี 2539 บริษัทมียอดขายประมาณ 9,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาบริษัทให้ความสำคัญในด้านการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาเวชภัณฑ์ใหม่ๆ ขึ้นมา โดยงบประมาณ 14% ของยอดขายจะนำมาดำเนินการด้านดังกล่าว และล่าสุดผลิตภัณฑ์ที่บริษัทพัฒนาขึ้นมาใหม่ คือ ยาสำหรับผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ ที่จำหน่ายไปแล้ว 20 ประเทศ

ส่วนเอไซฯ ในประเทศไทย เป็นผู้นำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านเวชภัณฑ์และเครื่องมือทางการแพทย์ ซึ่งเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2509 โดยเน้นเวชภัณฑ์สำหรับคน ส่วนเวชภัณฑ์สัตว์และวิตามินอีที่ใช้ผสมอาหารสัตว์ จำหน่ายเพื่อรักษาลูกค้าเก่าไว้เท่านั้น และปีนี้ก็ยังได้นำยารักษาโรคอัลไซเมอร์เข้ามาจำหน่ายด้วย ซึ่งถือว่าเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกที่นำเข้ามาจำหน่าย

"เหตุผลที่เรานำยาตัวนี้เข้ามาในไทย เนื่องจากเห็นความสำคัญของผู้สูงอายุตั้งแต่ 60-65 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคความจำเสื่อมสูง ให้ยังมีความสามารถที่จะทำงานหรือทำประโยชน์ต่อชนรุ่นหลังเพื่อพัฒนาประเทศต่อไป" ทวีศักดิ์ สีทองสุรภณา ประธานและกรรมการผู้จัดการบริษัท กล่าวถึงสาเหตุที่นำยาตัวใหม่เข้ามาจำหน่ายในไทย

ในระยะแรกๆ นี้บริษัทจะยังไม่เน้นด้านยอดขาย แต่จะมุ่งเน้นการให้ความรู้เกี่ยวกับโรคความจำเสื่อมและแนวทางการรักษา พร้อมทั้งการสัมมนาวิชาการให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และยังจะให้คำแนะนำยาดังกล่าวทั้งในโรงพยาบาลรัฐและเอกชน ซึ่งคาดหวังว่าภายใน 5 ปีข้างหน้านี้ ตัวยาใหม่จะสามารถเจาะตลาดได้แน่นอน

"ตลาดยาในกลุ่มนี้จะเติบโตมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับสัดส่วนของผู้สูงอายุและความรู้ตัวของผู้ป่วย ตลอดจนความเอาใจใส่ของผู้ใกล้ชิด จากผลสำรวจในประเทศที่พัฒนาแล้วปรากฏว่า ในกลุ่มผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปมีโอกาสเป็นโรคความจำเสื่อม 5% ของจำนวนผู้สูงอายุทั้งหมด ส่วนในไทยมีกลุ่มผู้สูงอายุประมาณ 3% หรือประมาณ 1.8-2 ล้านคนของประชากรทั้งหมด 60 ล้านคน เราจึงคาดว่าจะมีผู้ป่วยเป็นโรคความจำเสื่อมประมาณ 1 แสนคน และยิ่งอายุสูงมากขึ้นเรื่อยๆ อัตราการเป็นโรคความจำเสื่อมก็จะเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน อย่างเมื่อมีอายุ 80 ปี โอกาสที่จะเป็นโรคนี้ประมาณ 40%" ทวีศักดิ์ กล่าว

เขายังกล่าวเสริมว่าในอนาคต ยารักษาโรคความจำเสื่อมจะเป็นผลิตภัณฑ์อีกตัวหนึ่ง ที่จะสร้างรายได้หลักให้กับบริษัทได้เป็นอย่างดี เพราะตัวยาดังกล่าวมีประสิทธิภาพในการรักษาสูง โดยมีฤทธิ์ในการยับยั้งสารอาเซททิลโคลีน เอสเตอเรส ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องการเกิดโรคสมองเสื่อม และตัวยานี้ไม่มีผลข้างเคียงต่อตับ แต่จะมีผลข้างเคียงต่อทางเดินอาหาร ซึ่งจะคลื่นไส้ อาเจียน

"ยาตัวนี้ก็ได้รับการรับรองจากสำนักงานอาหารและยา (FDA) ใน หลายๆ ประเทศ ซึ่งหลังจากจำหน่ายในยุโรป อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย โดยเฉพาะแค่ในอเมริกามียอดขายสูงถึง 240 ล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้นเราจึงมั่นใจอย่างมากสำหรับยาตัวนี้ ไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพและยอดขายในไทย"

ในด้านยอดขายบริษัทจะจำหน่ายผ่านทางโรงพยาบาล ที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางประสาทวิทยาเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันโรงพยาบาลในไทยที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านดังกล่าวมีประมาณ 40 แห่ง

"ยาตัวนี้บรรจุ 1 ขวด 30 เม็ด จำหน่ายในราคา 3,000 บาท เราคาดว่าในปีนี้จะสามารถทำยอดขายให้ได้ประมาณ 10 ล้านบาท แต่ภายใน 5 ปีนี้จะทำยอดขายได้ประมาณ 80 ล้านบาท อีกทั้งยังจะนำออกไปจำหน่ายในแถบประเทศอินโดจีน เช่น ลาว เวียดนาม แต่เรายังรอการขอขึ้นทะเบียนยาตัวนี้อยู่" สมพล วุฒิกรวิภาค ผู้จัดการฝ่ายการตลาด กล่าวถึงช่องทางการจัดจำหน่ายของยารักษาโรคความจำเสื่อม

สำหรับช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทั่วๆ ไปของบริษัทในปี 2541 บริษัทจะยังคงเน้นเวชภัณฑ์สำหรับคนอยู่ และประมาณ 75% จะเป็นการจำหน่ายให้กับโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน อีกประมาณ 15% จำหน่ายผ่านร้านขายยาทั่วไป โดยปีที่ผ่านมาบริษัทสามารถทำยอดขายได้ประมาณ 200 ล้านบาท โดยมียอดขายในประเทศ 170 ล้านบาท อีกประมาณ 30 ล้านบาทเป็นยอดขายส่งออกไปยังมาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนามและพม่า

"ในปีนี้เราจะเน้นการจำหน่ายผ่านร้านขายยามากขึ้น เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ครอบคลุมกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น และคาดว่าจะมียอดขายไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตขึ้นประมาณ 15% นอกจากนี้เรายังจะมีรายได้จากการจำหน่ายวิตามินอี ประมาณ 60 ล้านบาท และในปี 2543 เราน่าจะทำยอดขายได้สูงถึง 300 ล้านบาท" ทวีศักดิ์ กล่าวตบท้าย

อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ของไทยที่ไม่น่าไว้วางใจ โอกาสที่คนไทยจะเป็นโรคอัลไซเมอร์นั้นมีมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่มีอายุอยู่ในช่วงทำงาน ดังนั้นถ้าหากไม่อยากเห็นตัวเองหรือคนรอบข้างเป็นโรคนี้ ควรหมั่นเอาใจใส่ดูแลร่างกายและสุขภาพจิตให้ดี

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us