โรคความจำเสื่อม หรือโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer's dise ase) เป็นโรคที่เกี่ยวกับความเสื่อมของเซลล์ประสาทในสมอง
ซึ่งจะส่งผลให้เป็นโรคจิตเสื่อมหรือสติเสีย (Dementia) โรคดังกล่าวบางครั้งเรียกว่า
โรคสมองฝ่อ หรือสมองเหี่ยว เนื่องจากผู้ป่วยสมองจะฝ่อเล็กลง เนื้อสมองและรอยหยักในสมองลดลง
โดยลักษณะอาการของผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์มีอาการตั้งแต่ขี้หลงขี้ลืมธรรมดาทั่วๆ
ไป หรือจำเหตุการณ์เรื่องราวในอดีตไม่ค่อยได้ สับสนในเรื่องต่างๆ กระวนกระวาย
อารมณ์เปลี่ยนแปลงบ่อย หรือถ้าอาการมากขึ้น ผู้ป่วยจะมีอาการของโรคประสาทอย่างชัดเจน
คลุ้มคลั่ง หดหู่ ควบคุมระบบขับถ่ายไม่ได้ จนถึงขั้นมีอาการชักและถึงเสียชีวิต
เพราะมีโรคแทรกซ้อนที่เกี่ยวกับการไม่เคลื่อนไหว เนื่องจากสมองไม่สามารถสั่งงานอะไรได้อีก
ในอดีตโรคความจำเสื่อมไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของคนไทยมากนัก แต่ในระยะ 2-3
ปีที่ผ่านมาคนไทยเริ่มให้ความสนใจกันมากขึ้น เนื่องจากอัตราเสี่ยงต่อโรคดังกล่าวของคนไทยมีสูงขึ้นโดยเฉพาะผู้สูงอายุ
และในอนาคตประมาณการกันไว้ว่า ผู้ป่วยโรคความจำเสื่อมจะยิ่งมีสูงมากขึ้นตามอัตราความมีอายุยืนของคน
จากความสำคัญดังกล่าว บริษัท เอไซ (ประเทศไทย) มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เป็นบริษัทในเครือของบริษัท
เอไซ จำกัด ของประเทศญี่ปุ่น ที่ดำเนินธุรกิจด้านการตลาด ค้นคว้าวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านเวชภัณฑ์สำหรับคนและสัตว์
รวมถึงเครื่องมือทางการแพทย์ และอุปกรณ์เครื่องจักรสำหรับโรงงานผลิตยามาเป็นเวลากว่า
60 ปี โดยมีเครือข่ายอยู่กว่า 60 ประเทศทั่วโลก ในปี 2539 บริษัทมียอดขายประมาณ
9,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาบริษัทให้ความสำคัญในด้านการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาเวชภัณฑ์ใหม่ๆ
ขึ้นมา โดยงบประมาณ 14% ของยอดขายจะนำมาดำเนินการด้านดังกล่าว และล่าสุดผลิตภัณฑ์ที่บริษัทพัฒนาขึ้นมาใหม่
คือ ยาสำหรับผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ ที่จำหน่ายไปแล้ว 20 ประเทศ
ส่วนเอไซฯ ในประเทศไทย เป็นผู้นำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านเวชภัณฑ์และเครื่องมือทางการแพทย์
ซึ่งเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2509 โดยเน้นเวชภัณฑ์สำหรับคน
ส่วนเวชภัณฑ์สัตว์และวิตามินอีที่ใช้ผสมอาหารสัตว์ จำหน่ายเพื่อรักษาลูกค้าเก่าไว้เท่านั้น
และปีนี้ก็ยังได้นำยารักษาโรคอัลไซเมอร์เข้ามาจำหน่ายด้วย ซึ่งถือว่าเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกที่นำเข้ามาจำหน่าย
"เหตุผลที่เรานำยาตัวนี้เข้ามาในไทย เนื่องจากเห็นความสำคัญของผู้สูงอายุตั้งแต่
60-65 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคความจำเสื่อมสูง ให้ยังมีความสามารถที่จะทำงานหรือทำประโยชน์ต่อชนรุ่นหลังเพื่อพัฒนาประเทศต่อไป"
ทวีศักดิ์ สีทองสุรภณา ประธานและกรรมการผู้จัดการบริษัท กล่าวถึงสาเหตุที่นำยาตัวใหม่เข้ามาจำหน่ายในไทย
ในระยะแรกๆ นี้บริษัทจะยังไม่เน้นด้านยอดขาย แต่จะมุ่งเน้นการให้ความรู้เกี่ยวกับโรคความจำเสื่อมและแนวทางการรักษา
พร้อมทั้งการสัมมนาวิชาการให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และยังจะให้คำแนะนำยาดังกล่าวทั้งในโรงพยาบาลรัฐและเอกชน
ซึ่งคาดหวังว่าภายใน 5 ปีข้างหน้านี้ ตัวยาใหม่จะสามารถเจาะตลาดได้แน่นอน
"ตลาดยาในกลุ่มนี้จะเติบโตมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับสัดส่วนของผู้สูงอายุและความรู้ตัวของผู้ป่วย
ตลอดจนความเอาใจใส่ของผู้ใกล้ชิด จากผลสำรวจในประเทศที่พัฒนาแล้วปรากฏว่า
ในกลุ่มผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปมีโอกาสเป็นโรคความจำเสื่อม 5% ของจำนวนผู้สูงอายุทั้งหมด
ส่วนในไทยมีกลุ่มผู้สูงอายุประมาณ 3% หรือประมาณ 1.8-2 ล้านคนของประชากรทั้งหมด
60 ล้านคน เราจึงคาดว่าจะมีผู้ป่วยเป็นโรคความจำเสื่อมประมาณ 1 แสนคน และยิ่งอายุสูงมากขึ้นเรื่อยๆ
อัตราการเป็นโรคความจำเสื่อมก็จะเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน อย่างเมื่อมีอายุ 80
ปี โอกาสที่จะเป็นโรคนี้ประมาณ 40%" ทวีศักดิ์ กล่าว
เขายังกล่าวเสริมว่าในอนาคต ยารักษาโรคความจำเสื่อมจะเป็นผลิตภัณฑ์อีกตัวหนึ่ง
ที่จะสร้างรายได้หลักให้กับบริษัทได้เป็นอย่างดี เพราะตัวยาดังกล่าวมีประสิทธิภาพในการรักษาสูง
โดยมีฤทธิ์ในการยับยั้งสารอาเซททิลโคลีน เอสเตอเรส ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องการเกิดโรคสมองเสื่อม
และตัวยานี้ไม่มีผลข้างเคียงต่อตับ แต่จะมีผลข้างเคียงต่อทางเดินอาหาร ซึ่งจะคลื่นไส้
อาเจียน
"ยาตัวนี้ก็ได้รับการรับรองจากสำนักงานอาหารและยา (FDA) ใน หลายๆ
ประเทศ ซึ่งหลังจากจำหน่ายในยุโรป อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย โดยเฉพาะแค่ในอเมริกามียอดขายสูงถึง
240 ล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้นเราจึงมั่นใจอย่างมากสำหรับยาตัวนี้ ไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพและยอดขายในไทย"
ในด้านยอดขายบริษัทจะจำหน่ายผ่านทางโรงพยาบาล ที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางประสาทวิทยาเท่านั้น
ซึ่งปัจจุบันโรงพยาบาลในไทยที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านดังกล่าวมีประมาณ 40
แห่ง
"ยาตัวนี้บรรจุ 1 ขวด 30 เม็ด จำหน่ายในราคา 3,000 บาท เราคาดว่าในปีนี้จะสามารถทำยอดขายให้ได้ประมาณ
10 ล้านบาท แต่ภายใน 5 ปีนี้จะทำยอดขายได้ประมาณ 80 ล้านบาท อีกทั้งยังจะนำออกไปจำหน่ายในแถบประเทศอินโดจีน
เช่น ลาว เวียดนาม แต่เรายังรอการขอขึ้นทะเบียนยาตัวนี้อยู่" สมพล วุฒิกรวิภาค
ผู้จัดการฝ่ายการตลาด กล่าวถึงช่องทางการจัดจำหน่ายของยารักษาโรคความจำเสื่อม
สำหรับช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทั่วๆ ไปของบริษัทในปี 2541 บริษัทจะยังคงเน้นเวชภัณฑ์สำหรับคนอยู่
และประมาณ 75% จะเป็นการจำหน่ายให้กับโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน อีกประมาณ
15% จำหน่ายผ่านร้านขายยาทั่วไป โดยปีที่ผ่านมาบริษัทสามารถทำยอดขายได้ประมาณ
200 ล้านบาท โดยมียอดขายในประเทศ 170 ล้านบาท อีกประมาณ 30 ล้านบาทเป็นยอดขายส่งออกไปยังมาเลเซีย
สิงคโปร์ เวียดนามและพม่า
"ในปีนี้เราจะเน้นการจำหน่ายผ่านร้านขายยามากขึ้น เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ครอบคลุมกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น
และคาดว่าจะมียอดขายไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตขึ้นประมาณ 15%
นอกจากนี้เรายังจะมีรายได้จากการจำหน่ายวิตามินอี ประมาณ 60 ล้านบาท และในปี
2543 เราน่าจะทำยอดขายได้สูงถึง 300 ล้านบาท" ทวีศักดิ์ กล่าวตบท้าย
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ของไทยที่ไม่น่าไว้วางใจ โอกาสที่คนไทยจะเป็นโรคอัลไซเมอร์นั้นมีมากขึ้น
โดยเฉพาะคนที่มีอายุอยู่ในช่วงทำงาน ดังนั้นถ้าหากไม่อยากเห็นตัวเองหรือคนรอบข้างเป็นโรคนี้
ควรหมั่นเอาใจใส่ดูแลร่างกายและสุขภาพจิตให้ดี