บันทึกอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์โครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ เมื่อวันที่
16 เมษายน 2541 คอลิน เวียร์ ผู้อำนวยการบริษัทโฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด
ผู้ซึ่งถูกกอร์ดอน วู ประธานใหญ่ของบริษัท วางตัวเป็นผู้ดำเนินโครงการทางรถไฟและถนนยกระดับในกรุงเทพฯ
เปิดตัวแถลงการณ์ครั้งสำคัญ ถึงท่าทีของโฮปเวลล์ที่ต้องการเรียกร้องค่าเสียหาย
จากคู่สัญญาฝ่ายรัฐเป็นมูลค่าถึง 100,000 ล้านบาท
งานนี้ไม่มีกอร์ดอน วู ออกหน้า แต่ทุกคนรู้ว่า ผู้ที่อนุมัติการร้องเรียนครั้งนี้มาจากตัวประธานใหญ่ที่ฮ่องกง
เป็นเพราะโฮปเวลล์รู้แน่ชัดแล้วว่า รัฐบาลไทยไม่สนใจบริษัทโฮปเวลล์อีกต่อไปแล้ว
เพราะไม่มีการเจรจาหารือใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย หลังการประกาศบอกยกเลิกสัญญาอย่างเป็นทางการ
จากทางคณะรัฐมนตรีปลายปีที่แล้ว ส่วนหนังสือบอกเลิกอย่างเป็นทางการก็ตามมาในวันที่
27 มกราคม 2541
หนังสือฉบับนั้นยื่นเงื่อนไขเด็ดขาด ห้ามไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องใดๆ ในพื้นที่โครงการด้วย
และยังแถมด้วยว่า คู่สัญญาฝ่ายรัฐขอสงวนสิทธิในการจะเรียกค่าเสียหาย จากการที่บริษัทไม่สามารถดำเนินโครงการได้ตามสัญญา
รวมทั้งขอริบเงินค่าตอบแทนสัญญาที่บริษัทได้จ่ายให้คู่สัญญาฝ่ายรัฐไว้แล้วทั้งหมด
และริบหลักประกันตามสัญญา
จากนั้นฝ่ายกระทรวงคมนาคมก็เงียบหาย ไม่มีการเจรจาเหมือนที่ผ่านมาระหว่างกระทรวงคมนาคมกับโฮปเวลล์
ทั้งจากสุเทพ เทือกสุบรรณ หรือกระทั่งประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์
ด้านหนึ่งนั้นฝ่ายรัฐมั่นใจว่า ด้วยเหตุผลความล่าช้าของโฮปเวลล์ ย่อมทำให้ฝ่ายรัฐมีสิทธิจัดการกับเอกชนได้เต็มที่
อีกทางหนึ่งนั้นเป็นเพราะฝ่ายรัฐคงไม่มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าเสียหายให้เอกชนหากมีการร้องเรียน
ประกอบกับความใหม่ของรัฐมนตรีที่ไม่ต้องการเสียเวลาต่อรองกับเอกชน ด้วยการศึกษาโครงการนี้
ต้องมีความลึกและจัดเจนในแง่กฎหมายอย่างมากถึงจะดำเนินการได้
ความเงียบจากกระทรวงคมนาคม และการรถไฟฯ ก็คือการปล่อยให้สำนักงานอัยการสูงสุดดำเนินการตามกฎหมาย
จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะเท่ากับโยนงานให้ผู้รู้รับไปทำ
ส่วนกระทรวงคมนาคมก็เดินหน้าหาเอกชนรายอื่นเข้ามาสวมโครงการต่อ คงไม่สามารถปล่อยให้เสาตอม่อตามแนวรางรถไฟที่โฮปเวลล์ลงทุนสร้างไปแล้วอยู่ในสภาพนั้น
ประจานความบกพร่องของรัฐบาลไทยได้
รัฐบาลไทยไม่มีเงินมากพอที่จะสานงานต่อ เพราะวิกฤติการณ์ด้านการเงินในประเทศไทย
คงไม่อยู่ในฐานะที่จะลงทุนโครงการมูลค่าสูงได้ และเป็นที่รับรู้กันมานานแล้วว่า
โครงการทางรถไฟและถนนยกระดับในกรุงเทพฯ นี้ รัฐบาลต้องให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน
หากจะทำได้อย่างมากที่สุดเพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับเอกชนก็คือ ฝ่ายการรถไฟฯ
ต้องเป็นผู้ลงทุนงานฐานราก ในสัดส่วนประมาณ 20% ของทั้งโครงการ ที่เหลือก็คือให้เอกชนเข้ามาร่วม
ส่วนเรื่องที่จะให้โฮปเวลล์กลับมาทำทั้งหมดคงยาก เพราะผลงานที่ผ่านมา ไม่มีความคืบหน้า
และฝ่ายไทยก็รู้สึกถูกผูกมัดเกินไป ที่ไม่สามารถจัดการใดๆ กับโฮปเวลล์ได้
ได้แต่ปล่อยให้ผลงานเป็นไปตามนี้ เพื่อจะได้ดำเนินการขั้นเด็ดขาดสักที
โฮปเวลล์จึงต้องดิ้นหาทางออกให้กับตนเอง ที่ผ่านมาความพยายามให้ฝ่ายกระทรวงคมนาคมยึดตามสัญญา
ด้วยการตั้งอนุญาโตตุลาการ ไม่ได้รับการตอบสนอง หรือกระทั่งการชูตัวอย่างภาพลักษณ์
ที่ต้องสูญเสียไปกับการยกเลิกสัญญากับนักลงทุนต่างประเทศ ก็ไม่เป็นผล
งานนี้โฮปเวลล์ ต้องหันหลังชนกำแพงเข้าสู้ เพราะหาทางออกด้วยวิธีอื่นคงไม่ได้
สิ่งที่บริษัทลงทุนจ่ายผลประโยชน์ให้กับฝ่ายไทย ตั้งแต่การเซ็นสัญญาเมื่อ
9 พฤศจิกายน 2533 จะต้องได้ตอบแทนกลับคืนมาบ้าง เพื่อไม่ให้เป็นการลงทุนที่สูญเปล่าตลอดระยะเวลาประมาณ
8 ปีที่ผ่านมา
ถึงปัจจุบันโฮปเวลล์ระบุว่า ได้ลงทุนในโครงการที่กรุงเทพฯ ไปแล้วมากกว่า
600 ล้านเหรียญสหรัฐ
ไม่ว่าค่าใช้จ่ายนั้นจะให้กับใครหรือองค์กรไหน เพื่อให้โครงการในประเทศไทยสามารถดำเนินการและรักษาสถานภาพไว้ได้
มองอีกด้านหนึ่ง การสูญเสียโครงการในประเทศไทยไป ก็เท่ากับเป็นการเสียภาพลักษณ์ที่ดีของบริษัทธุรกิจยักษ์ใหญ่ไปได้เช่นกัน
นอกเหนือจากตัวเงินที่ได้ลงทุนไป
ตัวกอร์ดอน วู เองนั้นดูเหมือนจะเงียบหายไป ไม่เหมือนกับครั้งที่ผ่านๆ
มา เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม เขาต้องเดินทางมากรุงเทพฯ เพื่อเจรจากับรัฐมนตรีทุกคน
ซึ่งผลที่ออกมาจะได้ข้อสรุปว่า โฮปเวลล์จะได้ทำโครงการต่อไป
มาครั้งนี้ คอลิน เวียร์ หรือ คอลิน เฮนรี่ เวียร์ ออกหน้าเต็มตัวแทน
วิศวกรโยธาอายุ 52 ปีเชื้อสายอังกฤษ เข้ามาร่วมงานกับกลุ่มโฮปเวลล์ เมื่อปี
2528 ผู้นี้ เคยทำโครงการด้านออกแบบโครงสร้างสถานีพลังงานและทางด่วนในเมืองจีนให้กับโฮปเวลล์
จนกระทั่งได้รับการแต่งตั้งให้นั่งอยู่ในคณะกรรมการบริหารของโฮปเวลล์ที่ฮ่องกง
เขาคงคาดไม่ถึงว่า การเข้ามารับงานด้านระบบขนส่งมวลชนของโฮปเวลล์ที่กรุงเทพฯ
สำหรับเขา จะเป็นงานหินขนาดนี้
คอลิน เวียร์ ประกาศชัดเจนหลังจากการประกาศตัวอย่างเป็นทางการว่า เขาจะเรียกค่าเสียหายจำนวนมหาศาลจากฝ่ายรัฐบาลไทย
หากผ่านไปแล้ว 2 เดือนยังไม่มีคำตอบ หรือการหารือที่ชัดเจนในรูปของการเจรจาต่อรองกับฝ่ายไทย
ทางโฮปเวลล์ก็ดำเนินการตามกฎหมาย
โฮปเวลล์นั้นต้องการดูท่าทีของฝ่ายรัฐว่าจะดำเนินการอย่างไร หากเอกชนทำท่าเอาจริงเอาจังตามกฎหมาย
แต่อีกทางหนึ่งในการแถลงข่าวครั้งนี้ ก็ดูเหมือนเป็นการเสนอตัวกับทางฝ่ายรัฐว่า
เขาจะขอเข้าร่วมในโครงการทางรถไฟยกระดับในรูปแบบใหม่ ที่จะมีการลดขนาดโครงการลง
หากมีการร่วมหุ้นระหว่างฝ่ายกระทรวงคมนาคม, โฮปเวลล์ และเอกชนรายอื่น
เพราะโฮปเวลล์เชื่อมั่นว่า ประสบการณ์ที่ผ่านมาในโครงการที่กรุงเทพฯ แม้จะยังก่อสรัางไม่เสร็จเรียบร้อย
แต่งานฐานรากด้านวิศวกรรมนั้น โฮปเวลล์รู้ดีที่สุด การก่อสร้างขั้นต่อไป
ต้องมีโฮปเวลล์ร่วมอยู่ด้วย
ทางหนึ่งเหมือนเอาจริง แต่อีกทางหนึ่งคือยื่นเงื่อนไขขอต่อรอง
"บริษัทหวังว่ากระทรวงคมนาคมและการรถไฟฯ จะปฏิบัติตามพันธะที่มีอยู่ในสัญญา
และพิจารณาประเมินค่าเสียหายตามที่บริษัทเรียกร้องโดยเร็ว มิฉะนั้นจะเป็นการบั่นทอนความไว้วางใจในการดำเนินการสัญญาต่างๆ
ในประเทศไทย อย่างไรก็ดี บริษัทคาดว่า กระทรวงคมนาคมและการรถไฟฯ จะยื่นข้อเรียกร้องแย้งมา
และบริษัทพร้อมที่จะเจรจาหาข้อยุติเกี่ยวกับฐานการคำนวณข้อเรียกร้องค่าเสียหายที่ยุติธรรมได้"
คำประกาศที่ชัดเจนของ คอลิน เวียร์ เป็นสิ่งที่บ่งชี้ถึงนัยความต้องการของโฮปเวลล์ว่า
อย่างไรเสียโฮปเวลล์ก็ยัง HOPEWELL กับงานในประเทศไทยต่อไป