Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มิถุนายน 2541








 
นิตยสารผู้จัดการ มิถุนายน 2541
ส่งออกไทยดวงไม่ถึงฆาต SFF ตกปากเข้าโอบอุ้ม             
 





เงินบาทเสื่อมค่า ดอกเบี้ยแพง เงินในระบบเหือดแห้งลงทุกที ทุกคนเริ่มปลงและหมดหวัง ดั่งฟ้าลงมาโปรดเมื่อ ดร.ปฐม วงศ์สุรวัฒน์ ดึง SFF เข้ามาในเมืองไทยได้สำเร็จ การค้ำประกันสินเชื่อให้แก่ผู้ส่งออกของ SFF จะช่วยเติมเต็มให้ระบบการค้าระหว่างประเทศของไทยไหลลื่นมากขึ้น ซึ่งหมายถึงการไหลเวียนของเงินในระบบกระเตื้องดีขึ้นได้ในที่สุด หากแต่เพียงแบงก์ไทยใจกล้าพอ

ภาพคล่อง ก้างชิ้นใหญ่ที่ตำคอคนไทยจนกลัดหนองอักเสบลุกลาม อาจถึงตายได้ ถ้าไม่ได้รับการรักษา เยียวยาอย่างทันท่วงที ทุกวันนี้ทุกวง การธุรกิจต่างยืนอยู่บนความเสี่ยง เสี่ยงที่จะล้มละลาย แม้กระทั่งธนาคารพาณิชย์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นภาคธุรกิจที่ทางการให้การคุ้มครองปกป้องอย่างแน่นหนาก็ยังเลี่ยงความเสี่ยงนี้ไม่พ้น NPL หรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เป็นตัวชี้ถึงความเสี่ยงนี้ได้เป็นอย่างดี ก็เพราะเหตุนี้นี่เองที่ทำให้แบงก์ไทยช่วงนี้ลดการปล่อยสินเชื่อทุกประเภทน้อยลงจนแทบจะเรียกว่าหยุด แม้กระทั่งการออกหนังสือยืนยันการจ่ายเงิน (Letter of Credit : L/C) ให้กับผู้ส่ง ออกก็ยังเป็นเรื่องที่ยากมากในตอนนี้

'กรุงศรีอยุธยายังไม่สิ้นคนดี' ดูจะเป็นจริงได้เมื่อกงสุลกิตติมศักดิ์ ไทย ประจำเมืองบอว์โดวซ์ ประเทศฝรั่งเศส ดร.ปฐม วงศ์สุรวัฒน์ แม้จะละทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนไปลงหลักปักฐานที่โน่น แต่ความรักและรับผิดชอบที่มีต่อแผ่นดินเกิดยังมีอยู่อย่างเปี่ยมล้น โดยได้พยายามหยิบยื่นความช่วยเหลือที่พอจะทำได้ตามศักยภาพความสามารถ เพื่อช่วยหาทางเยียวยาปัญหาวิกฤติให้แก่ภาคส่งออกของไทยที่กำลังประสบชะตากรรมอย่างที่ไม่ควรจะเป็น เพราะภาคธุรกิจในยามนี้อาจจะเป็นเพียงภาคธุรกิจเดียว ที่มีศักยภาพในการสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศได้ดีที่สุดในสภาวะเงินฝืดอย่างนี้

ในทางทฤษฎีการที่เงินบาทอ่อน ค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลสำคัญๆ ของโลก โดยเฉพาะดอลลาร์สหรัฐ นั่นก็หมายความว่าสินค้าที่ผลิตได้ในเมืองไทยย่อมราคาถูก โอกาสที่ต่างประเทศจะสั่งนำเข้าสินค้าจากไทยจึงมีความเป็นไปได้สูง ทว่าในทางปฏิบัติหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผู้ส่งออกไทยกลับต้องประสบกับอุปสรรคที่ไม่คาดฝันมาก่อน เมื่อแบงก์ไทยพร้อมใจกันบีบการปล่อย สินเชื่อทางการค้าให้แก่ผู้ส่งออกตลอดจนถึงการออกหนังสือยืนยันการจ่ายเงิน (L/C) เพราะเกรงหนี้จะสูญ ซึ่งจะต้อง กลายเป็นภาระของแบงก์ที่จะต้องหาเงิน เข้ามาตั้งสำรองในที่สุด

ที่ผ่านมา ผู้ส่งออกไทยได้ประสบปัญหาธนาคารไทยมีการเรียกเก็บเงินมัดจำจากการปล่อยสินเชื่อเพื่อการส่งออกในอัตราระหว่าง 10-30% ของวงเงินสินเชื่อที่อนุมัติทั้งที่มีหนัง- สือยืนยันการจ่ายเงิน หรือเอกสารการ เรียกเก็บเงินตามกำหนดเวลา (D/A Document Against Acceptance) หรือเอกสารเรียกเก็บเงินทันทีเมื่อส่ง มอบเอกสาร (D/P: Document Against Presentation) เป็นหลักฐานค้ำประกัน ทั้งๆ ที่แบงก์สามารถนำเอกสารเหล่านี้ไปขอกู้ต่อจากธนาคาร แห่งประเทศไทย ซึ่งได้มีการจัดสรรเงินเพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจนี้ไว้ก็ตาม โดยปกติแล้วแบงก์จะอนุมัติวงเงินให้เพียง 70-80% ของจำนวนเงินใน L/C หรือ D/A เท่านั้น ดังนั้นก็หมายความว่าผู้ส่งออกจะต้องมีเงินสดในมือเพื่อเสริมสภาพคล่อง หรือเติมในส่วนที่ขาดไปมากขึ้นเกือบถึง 50% เพื่อใช้ในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศแต่ละครั้ง

SFF : บทพิสูจน์ความจริงใจ
ไร้ปัจจัยทางการเมือง

การเข้ามาของสถาบันค้ำประกัน และให้สินเชื่อเพื่อการส่งออกฝรั่งเศส หรือ เอสเอฟเอฟ (Societe Francaise de Factoring : SFF) ตามคำเชิญชวนของ ดร.ปฐม เป็นนิมิตหมายที่ดีของภาคส่งออกไทยในอนาคต เพราะ ความคุ้นเคยรู้จักกันเป็นส่วนตัวในฐานะเพื่อนทางธุรกิจที่ดีต่อกันแท้ๆ ที่ทำให้ SFF ยอมตกปากรับคำตัดสินใจอย่างไม่รีรอ ทั้งๆ ที่ไทยเองก็มิใช่เป้าหมายที่ SFF หมายตาไว้แต่ต้น หลังจากเมื่อ 2 ปี ที่แล้วได้รุกตลาดเอเชียด้วยการเจาะเข้าไปยังไต้หวันและฮ่องกงเป็นรายแรก และญี่ปุ่น ก็เป็นเป้าหมายถัดต่อไป หากการก้าวเข้ามาในประเทศไทยครั้งนี้ของเขาได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความจริงใจและพร้อมที่จะเข้าใจในระบบที่ SFF ได้นำเข้ามาให้บริการแก่ผู้ส่งออกและแบงก์ไทย ซึ่งคาดว่าภายในสิ้นปีนี้ก็จะสามารถสรุปและประเมินผลความคืบหน้าได้

สำหรับประเทศไทย SFF ได้ แต่งตั้ง บริษัททริโอ อินเตอร์ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด ทำหน้าที่เป็นสำนักงานผู้แทนประจำประเทศไทย ซึ่งจะเป็นผู้รวบรวมเอกสารก่อนที่จะส่งไปให้ทางสำนักงานใหญ่เป็นผู้พิจารณา อนุมัติต่อไป โดยจะใช้เวลาประมาณ 72 ชั่วโมงก็สามารถให้คำตอบได้

"SFF ถูกทาบทามจากภาคเอกชน โดย ดร. ปฐม กงสุลกิตติมศักดิ์ และในฐานะที่ท่านเป็นเจ้าของชาโตว์ในฝรั่งเศส ซึ่งใช้บริการเขาอยู่ในการค้ำประกันองุ่น ซึ่งท่านรู้จักระบบนี้ดีพอสมควร เป็นคนแนะนำเข้ามา และบังเอิญท่านรู้จักผม ผมรู้จักท่าน และท่านก็ต้องการที่จะให้ระบบนี้มันเข้าไปถึงเอกชนจริงๆ ไม่ต้องการให้มันวุ่นวายจึงมองหาเอกชน และผมก็ได้รับเข้ามาทำ และเรายังไม่เคยคุยกับหน่วยราชการมาก่อนเลย การที่จะให้ประสบความสำเร็จต้องให้ใครคนหนึ่งเป็นตัวกลาง ผมไม่สามารถเป็นตัวกลางได้ แต่ผมก็ไม่ได้ยืนอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง เพียงแต่ต้องการที่จะให้ทั้งสองฝ่ายเข้ามาคุยกันให้ได้ ปัญหาที่เกิดขึ้นที่เราเจอมีโรงงานแห่งหนึ่งส่งออกกุ้ง เขาพร้อมที่จะส่งออกและมีผู้ซื้อ และเราก็พร้อมที่จะอนุมัติวงเงินกู้ให้เขา แต่ว่าไม่มีแบงก์ไหนออก L/C ให้เขา ซึ่งทางเอสเอฟเอฟเองก็ทราบถึงปัญหาตรงจุดนี้แต่เขาเองก็ไม่ท้อถอย แต่การที่จะให้เขานำเงินสดเข้ามามันทำไม่ได้จริงๆ เพราะว่าแบงก์ไทยไม่ช่วย ถ้าผู้ส่งออกล้มละลายแบงก์ก็ไม่รอดเช่นกัน ซึ่งตอนนี้เขาก็เริ่มไม่จ่ายเงินแบงก์แล้ว" อนิรุทธิ์ สมุทรโคจร กรรมการผู้จัดการ ทริโอ กล่าวถึงที่มา ของ SFF

ขณะที่ โบดวง เดอ โธเร่ (Baudouin de Thore) ผู้จัดการทั่ว ไป Universal Credit Insurance Group(UIG) บริษัทประกันสินเชื่อชั้นนำของฝรั่งเศสที่ได้เดินทางร่วมคณะมากับ ดร.ปฐมในฐานะที่ UIG จะเป็น ผู้รับประกันสินเชื่อเพื่อการส่งออกให้กับลูกค้าของ SFF อีกทอดหนึ่ง ซึ่งเดอ โธเร่ ได้กล่าวสั้นๆ ถึงเหตุผลที่ตัดสินใจรับคำ ดร.ปฐมเข้ามาทำธุรกิจในไทยในช่วงที่เศรษฐกิจพลิกผันนี้ว่า "พวกเรารู้จักกัน และเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน"

SFF ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1964 โดย บอสตัน กรุ๊ป ของสหรัฐอเมริกา กับ Credit Commercial de France และ Societe Francaise d'Assurance Credit (SFAC) และถือเป็น ผู้บุกเบิกธุรกิจแฟคตอริ่งของฝรั่งเศสอีกด้วย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 1996 SFF มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 1,777.5 ล้าน เหรียญสหรัฐ ระดับอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงขั้นที่ 1 ที่ 15% มีหนี้ที่รับซื้อไว้เป็นมูลค่าสูงถึง 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จากจำนวนอินวอยซ์มากกว่า 2.5 ล้านใบ โดย SFF ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ หนี้ระยะสั้นจากสถาบันจัดอันดับความ น่าเชื่อถือของยุโรป IBCA ที่ระดับ A1

"SFF มีท่านเคาท์ Jean-Claude de la Lassee ซึ่งเป็น ผู้ถือหุ้นรายเดียวในบริษัทนี้ เป็นบริษัท เอกเทศ และ มี UIG ทำงานร่วมกับ SFF และรายได้ของ UIG ส่วนใหญ่จะ มาจาก SFF นี้ ซึ่งหมายความว่าเราเป็นอิสระเราสามารถที่ดำเนินงานกับบริษัทแฟคตอริ่งทุกแห่งในโลกนี้ได้ เรามีระบบคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัย เมื่อปีที่แล้วเราได้บริหารอินวอยซ์ทั้งสิ้น 2.5 ล้านฉบับ ซึ่งเรามีทีมที่ดีในเรื่องนี้ นอกจากนี้เรายังมีบริษัทประกันเครดิต อีก 2 แห่ง คือ SFAC และ COFACE ในการประกันเครดิต (credit in surance) ซึ่งจะมีหน้าที่สำคัญหลักๆ 3 ประการด้วยกันคือ ป้องกันความเสี่ยง การชดเชย และการไม่มีกำหนดของวงเงินการให้ประกัน นี่คือ credit insurance ส่วน factoring ก็จะมีบริการ 2 ส่วนคือ การดูแลและจัด การใบกำกับสินค้า (administration of the invoice) และการบริหารการเงิน โดย UIG จะเป็นคนที่เข้ามาประกัน เครดิตนี้ แต่คนที่จะต้องให้เงินกู้ก็คือแบงก์ ซึ่งก็ต้องเป็นแบงก์ไทย ถ้าหาก เราให้ธนาคารต่างชาติเข้ามาทำหน้าที่แทนแบงก์ไทย เงินมันก็ไม่กลับเข้าสู่ระบบของไทยอยู่ดี มันก็ต้องไหลออก นอกประเทศ เพราะแบงก์เป็นต่างชาติ หมายความว่าเราจะทำให้มันมีความปลอดภัยที่สุดในการดึงเอาเงินตราต่างประเทศเข้ามาสู่ระบบมากที่สุด เพราะเมื่อคุณขายของออกไปเงินไหลกลับเข้าสู่ประเทศคุณมั่นใจได้เลยว่าเงินได้แน่ และอินวอยซ์ที่ทำขึ้นนั้นมีมูลค่าเต็มตามจำนวนของที่ส่งออกไป เพราะถ้าหากว่าอินวอยซ์นั้นมีการสร้างราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของสินค้าที่ส่งออกนั่นก็หมายความว่า บริษัทที่เข้ามาประกันในระบบของเราก็จะต้องได้รับเงินแค่มูลค่าที่ undervalue นั้นๆ โดยอัตโนมัติ" เดอ โธเร่ กล่าว ที่ผ่านมา ทาง SFF จะเน้นการให้ บริการ แก่บรรดาซัปพลายเออร์ และธุรกิจขนาดกลาง และขนาดเล็ก โดยจะให้บริการ ในเรื่องการสร้างความมั่นคง ให้เกิดขึ้นในหนี้และจัดการหรือจัดเก็บบัญชีลูกหนี้ นอกจากนี้ยังได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกในเครือข่ายของ International Factors ซึ่งมีสมาชิกร่วมถึง 30 ประเทศ อันจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ SFF ได้ดียิ่งขึ้น

นอกจากนี้ SFF ยังถือได้ว่าเป็นบริษัทอิสระที่ไม่มีเครือข่ายหรือสายสัมพันธ์กับแบงก์หนึ่งแบงก์ใด แต่จะมีการพัฒนาเครือข่ายทางการตลาดด้วยตนเอง และสร้างพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจกับแบงก์หลายแห่งด้วยเหตุนี้จึงทำให้ SFF มีความอิสระในการพิจารณาความเสี่ยงเป็นอย่างมาก โดยจะมีการคัดเลือกสัญญาแฟคตอริ่งอย่าง รอบคอบก่อนที่จะนำไปให้ SFAC เป็นผู้การันตีความเสี่ยงอีกทอดหนึ่งแบงก์ไทยตัวแปรใหญ่ที่ยังไร้คำตอบ

พลันที่เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ยุคมืดหลังการประกาศปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ปีที่แล้ว ปัญหาใหญ่ที่ภาคธุรกิจประสบก็คือภาระหนี้ต่างประเทศที่มีมูลค่าสูงขึ้นตามการอ่อนค่าลงของเงินบาท ส่งผลให้บริษัทส่วนใหญ่ตกอยู่ในภาวะการ ขาดทุน ธนาคารพาณิชย์ซึ่งมีฐานะเป็น เจ้าหนี้ต้องเผชิญมรสุมหนี้เสียก้อนโตถึงขั้นกระทบกับฐานะเงินสำรอง ซึ่งเป็นภาระของแบงก์ที่จะต้องวิ่งหาเงินสดเข้ามาเพิ่มเพื่อตั้งสำรองหนี้สูญ และนี่ก็คือที่มาของการ squeeze การปล่อยสินเชื่ออย่างหนักในขณะนี้ ซึ่งก็ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องลุกลามเป็นลูกโซ่ไปทั้งระบบ แม้กระทั่งธุรกิจการส่งออก ทั้งๆ ที่มีธนาคารเพื่อ ส่งออกและนำเข้า ที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นกลไกสำคัญในการเกื้อหนุนอุ้มชู ทว่า ณ เวลานี้กลไกนี้กลับ ทำงานอย่างติดๆ ขัดๆ เพราะตัวกลางอย่างธนาคารพาณิชย์ไม่ค่อยให้ความร่วมมือเพราะไม่ต้องการรับความเสี่ยง เรื่องหนี้เสีย

แฟคตอริ่งหรือการซื้อลดบัญชีลูกหนี้ ซึ่งเป็นธุรกิจที่เกิดขึ้นและเติบโตขึ้นมาด้วยผลพวงของเศรษฐกิจที่เจริญรุ่งเรือง ก็ได้กลายมาเป็นอีกกลไกหนึ่งที่ผู้ส่งออกสามารถใช้แก้ปัญหาสภาพคล่องได้ โดยนำบัญชีลูกหนี้ หรือผู้ซื้อสินค้าที่ยังไม่ครบกำหนดชำระเงินมาขายให้แก่บริษัทแฟคตอริ่งเพื่อนำเงินสดไปใช้เป็นเงินทุนหมุน เวียนในการดำเนินธุรกิจได้ในกรณีที่ต้องการใช้เงินเร่งด่วน แต่จะต้องขายในราคาส่วนลด ซึ่งทางบริษัทแฟคตอริ่งจะคิดส่วนลดจากอัตราดอกเบี้ย MOR บวกเพิ่มส่วนต่างดอกเบี้ยอีกประมาณ 1-5% เข้า และนำมาหักจากยอดมูลค่าตามใบกำกับสินค้าของลูกหนี้การค้า เงินที่เหลือก็จะเป็นของผู้ส่งออก แต่ที่ผ่านมา แฟคตอริ่งในไทยส่วนใหญ่จะเป็นการซื้อขายบัญชีลูกหนี้ในประเทศเท่านั้น ดังนั้นผู้ส่งออกจึงยังไม่สามารถใช้บริการได้อย่างเต็มที่นัก เพราะลูกหนี้จะอยู่ในต่างประเทศ ยิ่งเมื่อความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มสูงขึ้นโอกาสที่แฟคเตอร์ จะรับซื้อใบกำกับสินค้าจากผู้ส่งออกยิ่งยากมากขึ้น

นอกจากนี้ ระบบแฟคตอริ่งที่นำเข้ามาใช้ในเมืองไทยนั้นยังกระทำกันไม่ครบวงจรดังเช่นในต่างประเทศ ที่มีการรับประกันเพื่อป้องกันความเสี่ยงหนี้สูญอีกชั้นหนึ่ง และผู้ส่งออกไม่จำเป็นต้องรับความเสี่ยงในกรณีที่ผู้นำเข้าสินค้าในต่างประเทศเบี้ยวไม่จ่ายเงิน และเมื่อเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะพังพาบหนทางที่บรรดาผู้ส่งออกจะพึ่งพาบรรเทาอาการหน้ามืด เพราะเงินขาดมือจึงเหลือน้อยนิดเต็มที

การที่ SFF นำบริการทั้งค้ำประกันสินเชื่อเพื่อการส่งออกเข้าในไทย จะช่วยลดความเสี่ยงการเบี้ยวหนี้ให้แก่ผู้ส่งออกได้ในภาวะการค้าแบบไร้พรมแดนเช่นนี้ ขณะเดียวกันยังเป็นการยกระดับภาคการส่งออกของไทยให้เข้าสู่มาตรฐานสากลอีกด้วย และ ในอนาคตมีแนวโน้มว่าบทบาทและความสำคัญของ L/C หรือหนังสือยืนยันการจ่ายเงินในระบบการค้าระหว่างประเทศจะลดน้อยลง แต่จะอยู่ในลักษณะ open account มากขึ้น โดยที่ผู้ส่งออกจะต้องทำหน้าที่คล้ายๆ กับแบงก์ในการเลือกคู่ค้าที่ดีไม่มีปัญหาเรื่องเงิน นั่นก็หมายความว่าผู้ส่งออกจะต้องมีข้อมูลที่ดีเกี่ยวกับคู่ค้าของตนเอง

"ระบบของ SFF จะเป็นตัวกลางให้กับธนาคาร และผู้นำเข้าหรือผู้ซื้อ เราจะตรวจสอบผู้นำเข้าถึงฐานะทางการเงินของผู้ซื้อเรามีข้อมูลย้อนหลังได้ถึง 5 ปี เมื่อเราทราบเราก็จะแจ้งฐานะทางการเงินนั้นให้กับผู้ส่งออก ได้รู้ เพราะฉะนั้น credit liability ควรจะอยู่ที่เท่าไหร่ credit liability เราไม่ได้พูดถึงต่ออินวอยซ์ หรือชิป-เม้นต์ เราสามารถที่จะรับวงเงินสินเชื่อที่ maximum exposure นั่นก็หมาย ความว่า เราสามารถที่จะรับผิดชอบที่ maximum exposure คือจะใช้เท่าไหร่ก็ได้ในปีนั้นแต่วงเงินสูงสุดเท่านี้ ระบบนี้มันค่อนข้างง่ายตรงที่ว่าผู้ส่งออกประหยัดต้นทุนในเรื่องของเอกสาร ขั้นตอน พนักงาน เวลาได้เยอะมาก และไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับเงินหรือไม่ จริงอยู่ว่า L/C ก็ให้ความคุ้มครองแต่ว่าต้นทุนของ L/C สูงมาก อีกด้านหนึ่งระบบนี้เป็นเหมือนการมี open account นั่นหมายความว่าผู้ส่งออกสามารถเปิดเครดิต 30 วัน 60 วัน 90 วันให้เครดิตกับผู้นำเข้าได้ เมื่อยิ่งมีการให้เครดิตผู้นำเข้าได้และเงินที่ถูกโอนเข้ามาในประเทศในระบบ SFF นี่จะเป็นเงินตราต่างประเทศทั้งสิ้น แล้วจะถูกส่งเข้ามาในระบบจริงๆ นั่นก็หมายความว่าประเทศเราได้เงินตราต่างประเทศเข้ามาเต็ม 100% เราทำได้ทุกสกุลเงิน ถ้าอินวอยซ์เป็นดอลลาร์เราก็โอนเข้ามาเป็นดอลลาร์ รวมทั้งมาร์ก เยนด้วย" อนิรุทธิ์ อธิบาย

สิ่งที่เป็นจุดเด่น ที่ทางผู้บริหาร ของ SFF เน้นเป็นพิเศษก็คือว่าในระบบนี้ความเสี่ยงในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนและดอกเบี้ย จะถูกจำกัดด้วยการจัดให้ช่วงเวลาในการส่งของของผู้ขาย และการจ่ายเงินของผู้ซื้อให้แก่สถาบันการเงินให้ใกล้เคียงกันมากที่สุด

การเข้าสู่ระบบของ SFF จะเริ่มต้นจากที่ผู้ส่งออกเจรจากับผู้ซื้อทำสัญญาซื้อขายในลักษณะของ open account จากนั้นผู้ส่งออกก็จะขอวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนซึ่งส่วนมากจะใช้วิธีขอวงเงินสูงสุด ในขั้นตอนนี้ก่อนที่ SFF จะอนุมัติวงเงินสินเชื่อจะทำการตรวจสอบข้อมูลของผู้ซื้อเพื่อพิจารณาความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นกับการชำระเงิน โดยจะเน้นที่ฐานะการเงินของบริษัทย้อนหลัง 5 ปี เมื่อผ่านการพิจารณาก็จะอนุมัติวงเงิน ผู้ส่งออกก็สามารถส่งสินค้าให้กับผู้ซื้อได้ โดยในใบกำกับ สินค้า หรืออินวอยซ์จะต้องระบุไว้ว่า SFF สามารถไล่เก็บหนี้ได้หากเกิดการเบี้ยวจ่ายหนี้ โดยใบกำกับสินค้านี้ผู้ส่งออกจะต้องส่งสำเนามาให้กับทางSFF ภายใน 5 วันหลังจากส่งสินค้าแล้ว และจนกระทั่งครบกำหนดชำระเงินผู้ซื้อจะต้องชำระเงินให้แก่ผู้ส่งออกเป็นอันว่า ขั้นตอนวิธีปฏิบัติในการส่งออกสิ้นสุดลง และผู้ส่งออกสามารถ ที่จะทำธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องด้วยวงเงินสินเชื่อที่ได้ขอไว้แล้วโดยไม่ต้อง เริ่มขั้นตอนใหม่

แต่ในกรณีที่ผู้ซื้อเบี้ยวจ่าย ผู้ส่งออกสามารถทวงถามได้ด้วยตัวเองในเวลาสูงสุด 30 วัน หลังนั้นต้องรายงานให้ทาง SFF ทราบเรื่อง SFF ในฐานะเจ้าของหนี้จะเป็นผู้ทวงถามหนี้จากผู้ซื้อในทุกวิถีทางตามกฎหมายโดยมีกำลังพลทนายความมากกว่า 300 นาย ทั้งนี้ผู้ซื้ออาจจะถูกบริษัทประกัน สินเชื่อของเจ้าหนี้ระงับการทำธุรกรรมทุกรูปแบบได้ แต่ถ้าผู้ส่งออกยังไม่ได้รับเงินคืนเป็นเวลา 6 เดือน SFF ก็จะเป็นผู้จ่ายเงินชดเชยให้ 90% ของหนี้ส่วนที่เหลืออีก 10% นั้น SFF จะคืนให้ก็ต่อเมื่อสามารถทวงหนี้ได้สำเร็จ

"ขั้นตอนการดำเนินงานของมันก็คือว่าผู้ส่งออกจะต้องเป็นผู้ที่บอก ตลอดว่าผู้ซื้อของเขาเป็นใคร และเราก็จะตรวจสอบให้ และเราก็จะบอกเขาว่า liability maximum exporsure ที่เราให้ เราจะชาร์จ premium 0.4-0.5% เท่านั้นเอง เขาจะเรียกเก็บเงินเองหรือให้เราเก็บก็ได้ แต่ถ้ามีธนาคาร ไทยเข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ เราควรที่จะเก็บเงินแทนให้กับธนาคาร ในกรณีที่ผู้นำเข้าโอนเงินให้กับผู้ส่งออกเองเรา authorized ที่จะเรียกเก็บเงินจากผู้นำเข้าและโอนให้กับธนาคาร

สมมติว่ามีการตกลงกันระหว่าง ผู้ส่งออกและผู้นำเข้า และธนาคารไทย ข้อตกลงก็มีอยู่ว่าหลังจากส่งสินค้าไปแล้วเมื่อครบ due สมมติอินวอยซ์ 1 ล้านเหรียญเงินนี้จะต้องถูกส่งกลับมาที่บัญชีที่แบงก์ ถ้าหากผู้ส่งออกกับผู้นำเข้ารู้กัน และผู้นำเข้าส่งเงินตรงมาที่ผู้ส่งออกนี่เป็นการทำผิดเงื่อนไข เราในฐานะ SFF เราจะเรียกเก็บเงินอีกครั้งหนึ่งจากผู้นำเข้าแล้วส่งกลับมาที่ธนาคาร ซึ่งตรงนี้เราถือว่าเป็น security ที่สูงมาก เพราะเขาทำผิดข้อ ตกลงตั้งแต่ขั้นต้น และเราก็มีอำนาจที่จะทำได้ ในอีกกรณีหนึ่ง ถ้าผู้นำเข้าไม่จ่ายเงินให้กับผู้ส่งออก เราสามารถที่จะบล็อกผู้นำเข้ารายนี้ได้ทุกอย่างจนเขาไม่สามารถที่จะมี international trade เข้ามาเกี่ยวข้องอีกเลย ศักยภาพของเราค่อนข้างที่จะสูงมาก ผู้ส่งออกสามารถเลือกที่จะให้เราเก็บเงินให้ หรือจะเลือกที่จะเก็บเองก็เป็นไปตามเงื่อนไขที่ทำกันไว้ตั้งแต่เริ่มต้นที่ผู้ส่งออกเดินเข้ามาขอข้อมูลจากเรา ในกรณีที่เขาเลือกเก็บเองแล้วไม่ได้เงิน เราจะเข้าไปจัดการให้เขาหลังจากนั้น 30 วัน และนั่นก็หมายความว่าเราจะโอนเงินเข้าให้เขา 90% ของมูลค่าอินวอยซ์" อนิรุทธิ์ สรุป

เดอ โธเร่ มักจะกล่าวอยู่เสมอว่าสิ่งที่ผู้คนมักจะลืมนึกถึงกันบ่อยๆ ก็คือว่า ในการค้าขายกันหากการเบี้ยวหนี้ไม่เกิดขึ้นผู้ขายก็จะได้ทั้งทุนและกำไรกลับมาทุกครั้ง แต่ในกรณีที่คู่ค้าเป็นแบบลักปิดลักเปิดครั้งแรกจ่ายครั้งที่สองเบี้ยวผู้ขายก็จะไม่ได้อะไรเลย นี่คือความเสี่ยงที่สามารถ เกิดขึ้นได้ทุกเสี้ยววินาที ดังนั้นหากผู้ขายมีการป้องกันความเสี่ยงไว้ทุนและกำไรก็จะไม่หายไปไหน แม้ว่าจะมีต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นบ้างก็ตาม

SFF จะมีความสามารถมากน้อยเพียงไรในการตามหนี้? นี่อาจจะเป็นคำถามที่เกิดขึ้นในใจหลายต่อหลายคน ซึ่ง เดอ โธเร่ ได้อธิบายว่า "เรามีฐานข้อมูลบริษัทผู้นำเข้ามากกว่า 21 ล้านรายทั่วโลก เราสามารถทราบได้ทันทีว่าใครมีฐานะการเงินมั่นคงอย่างไร โดยข้อมูลเราจะเก็บรวบรวมจากทุกแหล่ง โดยเฉพาะซัปพลายเออร์ ซึ่งถือเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญยิ่ง เพราะผู้ซื้อ/ขายในระดับนี้ย่อมไม่มีซัปพลายเออร์เพียงรายเดียวเท่านั้น เราเก็บข้อมูลแม้กระทั่งจากคู่แข่งในวงการ เพราะฉะนั้นเราค่อนข้างมั่นใจว่าความเสี่ยงที่ผู้ส่งออกจะได้รับนั้นมีน้อยมาก" เบื้องหลังความสำเร็จของ SFF ตลอดเวลาที่ผ่านมาส่วนที่สำคัญที่สุดมาจากฐานข้อมูลที่ทรงประสิทธิภาพ ที่สามารถล่วงรู้สถานะของผู้ส่งออกแต่ละรายได้เป็นอย่างดี เพราะข้อมูลที่ได้รับจากทุกแหล่งจะถูกเก็บรวบรวมไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ ที่มีระบบความปลอดภัยสูงและมีการอัพเกรดข้อมูลใหม่เข้าไปอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังมีทีมงานที่มีประสบการณ์และโนว์ฮาวในการสร้างความสัมพันธ์กับบรรดาซัปพลายเออร์ ซึ่งถือเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดอีกด้วย โดยในแต่ละวัน SFF จะต้องพิจารณาอนุมัติวงเงินให้แก่ลูกค้ามากกว่า 7,000 ราย

ทว่าเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาความขัดแย้งในเรื่องของผลประโยชน์ ทาง SFF จึงเลือกที่จะทำหน้าที่ในการตรวจสอบเพียงผู้นำเข้า หรือผู้ซื้อเท่านั้น ขณะที่การตรวจสอบผู้ส่งออกนั้นเป็นหน้าที่ของแบงก์พาณิชย์ ในบางเวลาผู้ส่งออกจะกลายเป็นผู้นำเข้าได้เสมอในโลกของการค้าข้ามชาติ

"เรารู้จักทั้งผู้ส่งออกและผู้นำเข้าในไทยดี แต่เราจะแบ่งการทำงานกันโดยจะให้แบงก์เป็นผู้สกรีนผู้ส่งออกเราจะเป็นตัวสกรีนผู้นำเข้า เราพบกันครึ่งทางเพื่อที่จะให้ตลาดเกิดสภาพคล่องขึ้นมาให้ได้ แต่จริงๆ แล้ว เราก็รู้จักผู้นำเข้าในเมืองไทยค่อนข้างดีเพราะเราได้ตรวจสอบผู้นำเข้าของไทยค่อนข้างเยอะแล้ว เพราะผู้ส่งออกในยุโรปที่เข้ามาดีลการค้ากับผู้นำเข้าในเมืองไทยเยอะมาก ซึ่งเราก็ต้องมีการตรวจสอบผู้นำเข้าไทย ดูฐานะการเงินย้อนหลัง 3-5 ปี" อนิรุทธิ์ ให้ความเห็น

หากจะกล่าวแล้วระบบนี้ได้ช่วยแบ่งเบาภาระของแบงก์ไทยได้เป็นอย่างดี เนื่องจากไม่ต้องมีภาระความเสี่ยงเรื่องของหนี้สูญที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เพราะมี SFF คอยเป็นผู้แบกรับความ เสี่ยงนี้แทนทั้งหมด

"ระบบนี้สามารถสร้างความมั่นใจให้แก่ธนาคารไทยได้ และธนาคารไทยน่าจะเป็นผู้ที่สนใจระบบนี้มากที่สุด เพราะไม่มีหนี้สูญเลย เพราะว่า UIG จะเป็นผู้รับผิดชอบวงเงินที่เขารับประกันอยู่แล้วถ้าผู้นำเข้าไม่จ่ายเงินเขาก็จ่ายให้ เพราะฉะนั้นหนี้สูญจากผู้ส่งออกจะไม่มี ธนาคารอาจจะเสียผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ จากเรื่องของคอมมิชชั่น L/C เรื่องของพิธีการ แต่ผลประโยชน์ที่จะได้คือไม่มีหนี้เสียจากผู้ส่งออก เพราะว่า SFF ประกันให้ กับผู้ส่งออก แล้วทำไมธนาคารไทยไม่ กล้าออก L/C ให้กับผู้ส่งออก หรือ ให้สินเชื่อในเมื่อมีคนค้ำประกันสินเชื่อ ซึ่งมันก็เป็นลักษณะ triangle เงินก็จะไหลอยู่ในนั้น SFF สามารถที่จะโอนเงินกลับมาที่ธนาคารนั้นๆ ได้ โดย มีข้อตกลงกัน 3 ฝ่ายคือ SFF ผู้ส่งออก และธนาคาร และ beneficialry คือธนาคารไทย ทุกบาทที่ SFF เป็นผู้เรียกเก็บเงินจากผู้นำเข้าไม่ว่าจะอยู่ในประเทศไหนก็ตามจะถูกนำเข้ามายังบัญชีนั้นๆ

เราเน้นที่ผู้ส่งออกเป็นหลักในเวลานี้ เพราะเราได้ศึกษาเป็นเวลานาน มากว่าระบบนี้สามารถที่จะเข้ามาช่วยเหลือฐานะทางการเงินของประเทศ ได้ คือผู้ส่งออก สิ่งหนึ่งที่เราทำได้ก็คือเราสร้างความมั่นใจให้กับเขาได้ว่าลูกค้าที่เขาต้องเข้าไปเกี่ยวข้องนั้นมีความแข็งแรงเพียงพอ"

ในปี 1999 ที่กำลังจะคืบคลาน เข้ามาถึงนี้ สหภาพยุโรปจะเริ่มใช้เงินสกุลเดียวกัน คือยูโร ตามสนธิสัญญามาสทริซต์ นั่นก็หมายถึงความเป็นตลาดเดียวของยุโรปสมบูรณ์แล้ว นั่นก็หมายความว่าประเทศที่เป็นคู่ค้าของยุโรปทั้งหลายจำเป็นจะต้องปรับตัวรับกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นให้ได้ ซึ่งมีการคาดหมายว่าเงินยูโรนี้จะมีศักยภาพเป็น heaven currency แข่งกับดอลลาร์สหรัฐได้อย่างแน่นอน เพราะหากเทียบความสำคัญในแง่ของตลาดแล้วยุโรปจะมีขนาดใหญ่กว่าสหรัฐ นั่นก็หมายความว่าโอกาสในการส่งออกไปมีเพิ่มมากขึ้น

ดังนั้นในช่วงนี้จึงถือเป็นเวลาที่เหมาะเจาะสำหรับผู้ส่งออกไทยที่จะเข้าสู่ตลาดยุโรปก่อนที่จะสายจนเกินกาล

การที่ SFF นำมาตรฐานสากล ในการทำการค้าระหว่างประเทศเข้ามาในเมืองไทย จะช่วยให้ผู้ส่งออกไทยเป็นที่รู้จักมากขึ้นในตลาดยุโรป และที่สำคัญความไว้วางใจในการค้าขาย ย่อมมีมากขึ้นเพราะความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้รับการดูแลจัดการจาก SFF ซึ่งบรรดาผู้นำเข้ายุโรปรู้จักและคุ้นเคยเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้โอกาสที่ผู้ส่งออกของไทยจะขยายธุรกิจเข้าไปในสหภาพยุโรปเป็นวงกว้าง จึงมีมากขึ้นตามไปด้วย

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นช่วงเริ่มต้น และการเข้ามาครั้งนี้ของ SFF จากการเชื้อเชิญของภาคเอกชนด้วยกันเอง ดังนั้นการขานรับจากภาครัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงยังไม่มีให้เห็นในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง หรือแม้แต่กระทรวงพาณิชย์ ขณะที่บริษัทธุรกิจด้านการส่งออกเริ่มมีการขยับตัวตอบรับด้วยการเข้าใช้บริการก็เริ่มทยอยมีให้เห็นบ้างแล้ว ซึ่งทาง SFF เปิดเผยว่า ขณะนี้มีประมาณ 3 บริษัทที่ได้รับอนุมัติวงเงินสินเชื่อแล้ว โดยเป็นบริษัทผู้ส่งออกพีวีซี บริษัทผู้ส่งออกอาหารสัตว์ และบริษัทผู้ส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูป ความพยายามของ ดร.ปฐมที่อุตส่าห์นำ SFF ใส่พานมาให้ถึงที่นั้นจะเป็นผลสำเร็จดังปรารถนาหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่ที่คนไทยในประเทศไทยที่จะรับมาสานต่อเจตนารมณ์ให้เห็นเป็นรูปธรรม ทว่าตัวแปรสำคัญในตอนนี้คือแบงก์พาณิชย์ หรือว่าในยามนี้มีเพียงแค่กองทุนฟื้นฟูเท่านั้น... ที่เป็นลูกค้าชั้นดีที่สุด!!!!

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us