คณะกรรมการแก้ไขกฎหมายล้มละลายชุดที่มี มานิต วิทยาเต็ม เป็นประธานฯได้จบภาระกิจการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้
และนำเสนอเข้าคณะรัฐมนตรีไปแล้วเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แน่นอนว่ากฎหมายนี้ยังมีข้อที่ต้องแก้ไขอยู่อีก
เพราะเป็นกฎหมายเก่าที่มีอายุเกือบ 60 ปีแล้ว ย่อมไม่เหมาะสมกับสถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง
ในการแก้ไขกฎหมายย่อมมีผู้เชี่ยวชาญด้านนี้จากหน่วยงานต่างๆ แต่ที่น่าสนใจคือมีที่ปรึกษาจากส่วนเอกชนเข้าร่วมด้วยคนหนึ่ง
ชื่อ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ กรรมการบริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็คเคนซี่ จำกัด
ซึ่งมีบทบาทที่น่าสนใจไม่น้อยในการแก้ไขกฎหมายครั้งนี้
เรื่องโดย ภัชราพร ช้างแก้ว
ฎหมายฉบับเดียวที่ออกมาแล้วต้องมีการแก้ไขถึง 5 ครั้ง 5 ครา จนป่านนี้ก็ยังไม่อาจนำมาใช้ได้
เพราะยังไม่ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติฯ คือพ.ร.บ.กฎหมายล้มละลาย ปี
2483 ซึ่งมีการแก้ไขมาเป็นระยะๆ กระทั่งสามารถออกมาใช้แล้วตั้งแต่เมื่อวันที่
10 เมษายนที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีความไม่สมบูรณ์ เพราะเจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟมองว่ายังขาดอะไรไปอีกหลายส่วน
จึงขอให้กระทรวง การคลังตั้งคณะทำงานฯ ขึ้นมา อย่างไรก็ดี หลังจากที่คณะทำงานซึ่งมีชื่อเต็มว่าคณะกรรมการแก้ไขกฎหมายล้มละลาย
ดำเนินการแก้ไขข้อกฎหมายตามที่ไอเอ็มเอฟขอ กฎหมายฉบับแก้ไขนี้ก็ถูกนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
แต่กว่าขั้นตอนการออกกฎหมายจะจบสิ้น คาดว่ากฎหมายฉบับนี้จะนำมาใช้ได้จริงก็คงเป็นช่วงปลายปี
คณะกรรมการแก้ไขกฎหมายล้มละลายมีอาจารย์ มานิต วิทยาเต็ม เป็นประธานฯ คณะกรรมการฯประกอบ
ด้วย เกริก วณิกกุล ผู้อำนวยการฝ่าย กฎหมาย ธนาคารแห่งประเทศไทย, ไกรสร บารมีอวยชัย,
วิศิษฐ์ วิศิษฐ์-สรอรรถ, มนัสวีร์ เปาอิมทร์ที่ปรึษา กฏหมาย ปรส., วสันต์
เทียนหอม ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมาย ก.ล.ต. นอก จากนี้ก็เป็นผู้แทนจากหน่วยงานราชการ
อย่างไรก็ดี ในบรรดาผู้ที่เอ่ยนามข้างต้น ยังมีผู้ที่มีบทบาทสำคัญอีกท่านหนึ่ง
ที่อยู่ในส่วนคณะกรรมการฯ นี้ด้วยในฐานะที่ปรึกษา ไม่ได้มี ชื่อเป็นกรรมการเพราะมาจากภาคเอกชน
แต่เป็นบุคคลสำคัญที่ถูกระบุว่าจะต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย คือ กิติพงศ์
อุรพีพัฒนพงศ์ กรรมการ บริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็คเคนซี่ จำกัด
ทั้งนี้ เบเคอร์ฯ ได้ให้ความช่วย เหลือแก่ทนายความของธนาคารโลกและไอเอ็มเอฟมาโดยตลอดเมื่อต้อง
การทราบข้อมูลเรื่องกฎหมายไทย ซึ่งในเวลานี้เป็นจังหวะที่มีการแก้ไขกฎหมายและการออกกฎหมายใหม่มากที่สุด
เท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์กฎหมายไทยเลยทีเดียว
กิติพงศ์กล่าวว่า "รัฐบาลไทยนั้น การแก้กฎหมายเป็นเรื่องที่ยากมาก หากไม่มีวิกฤตินี่
ไม่ยอมแก้กฎหมายหรอก คุณลองดูหากไม่มีเหตุการณ์บังคับแล้ว ไม่มีทางที่กฎหมายนี้จะผ่าน"
การแก้ไขกฎหมายล้มละลายในรอบนี้ กิติพงศ์ได้ให้ความร่วมมือแก่คณะกรรมการฯ
อย่างเต็มที่ ทั้งที่เขาเป็นเพียงที่ปรึกษาเท่านั้น เขาถึงกับใช้พนักงานในออฟฟิศทำงานวันหยุดเสาร์อาทิตย์
ในช่วงสงกรานต์เพื่อเร่งแก้ไขตามกรอบที่ธนาคารโลกแนะนำ ซึ่งตัวเขาเองก็มีส่วนพูดคุยให้ความเห็นกับเจ้าหน้าที่เหล่านี้อยู่ตลอดเวลา
ด้วยเหตุนี้เบเคอร์ฯ จึงได้รับการ แนะนำให้เข้ามาเป็นหนึ่งในคณะกรรมการฯ
ด้วย ซึ่งในที่สุดก็มีตำแหน่งเป็น ที่ปรึกษาเท่านั้น
การแก้กฎหมายล้มละลายในครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 5 หลังจากที่แก้ครั้งสุดท้ายเมื่อปี
2523 แล้วใช้เวลาอีก 10 กว่าปี ส่วนที่มีการแก้อีก 2 ครั้งระหว่างนั้น ไม่มีสาระสำคัญอะไรเป็น
การแก้เรื่องจำนวนเงิน
สำหรับการแก้ไขครั้งนี้ สาระสำคัญที่แก้กันนั้นมีประมาณ 7 ประเด็น ที่ใหญ่ๆ
มีอยู่ 5 เรื่องดังนี้
- เรื่องแรกเป็นการแก้เรื่องการ แบ่งกลุ่มเจ้าหนี้ ในการที่จะอนุมัติการ
ฟื้นฟูกิจการซึ่งตามกฎหมายปัจจุบัน บริษัทต้องใช้มติพิเศษ ครั้งแรกตั้งผู้ทำแผน
หากได้เสียงข้างมาก ก็โอเค แต่ถ้าลูกหนี้เสนอ ต้องเอาลูกหนี้ก่อน แต่ถ้าเจ้าหนี้
2 ใน 3 ไม่ตกลง ก็ต้องเอาของเจ้าหนี้ คือหากเอาเสียง 2 ใน 3 ได้ก็แทบจะควบคุมบริษัทได้แล้ว
ก็ให้ทำแผนเสนอมา ภายใน 5 เดือน ทำแผนเสร็จ ตอนอนุมัติแผน ก็ต้องได้รับคะแนนเสียง
เรียกว่า มติพิเศษ คือนับจำนวนคนหรือ head count บวกกับจำนวนหนี้ที่เข้าประชุม
ต้องได้ 75% ซึ่งภายใต้เจ้าหนี้ 75% นี่ก็เกือบจะชนะแล้ว
และในกฎหมายใหม่บอกว่าเจ้าหนี้แต่ละคนมีสิทธิ์ที่ต่างกัน กฎ-หมายเดิมเจ้าหนี้ด้อยสิทธิ์
หรือ subordinated debt ก็มีสิทธิเท่ากับเจ้าหนี้มีประกัน ซึ่งเท่ากับว่าเจ้าหนี้มีประกันหรือไม่มีประกันมีสิทธิ์เท่ากันหมด
อย่างนี้ไม่ถูก มันต้องแบ่ง กล่าวคือเจ้าหนี้มีประกันที่มีหนี้เกิน 15% ของหนี้บริษัททั้งหมดก็เป็นกลุ่มหนึ่ง,
เจ้าหนี้มีประกันที่ต่ำกว่า 15% อีกกลุ่มหนึ่ง, เจ้าหนี้ไม่มีประกัน (อาจแบ่งเป็น
เจ้าหนี้การค้า เจ้าหนี้ลูกจ้าง) ก็เป็นอีก กลุ่ม และกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มที่สี่คือเจ้าหนี้ด้อยสิทธิ์
ซึ่งไม่มีสิทธิ์โหวต แผนจะอนุมัติได้ต่อเมื่อเจ้าหนี้ทุกกลุ่มต้องโหวตให้ได้
75% ทุกกลุ่ม แผนจึงจะผ่าน อันนี้ก็โอเค
แต่ถ้าไม่ถึง 75% และถ้าเจ้าหนี้มีประกันกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโหวต (ในกรณีที่เจ้าหนี้อาจจะมีผลประโยชน์ขัดกัน)
บวกกับเจ้าหนี้ไม่มีหลักประกัน ทุกกลุ่มโหวต หากเป็นอย่างนี้ก็สามารถ ขอรับการฟื้นฟูได้
แม้หนี้อาจจะน้อยกว่า 75%
"ไม่อย่างนั้น ตามกฎหมายเดิม หากผมเป็นเจ้าหนี้ไม่มีประกัน ซึ่งส่วนมากเป็นกลุ่มแบงก์
ก็จะไม่อนุมัติ ให้แผนฟื้นฟูผ่าน เพราะหากแผนผ่าน ตัวเขาเองก็ไม่สามารถบังคับจำนองได้
ก็ต้องรอ อาจจะรอจนแผนเสร็จ 5-7 ปี ดังนั้นเขาก็ไม่มีเหตุที่จะอนุมัติแผนใช่ไหม
หากเขาไม่ได้ก่อน เขาอาจจะบล็อกไม่ผ่าน กม.ใหม่นี่จึงแบ่งเจ้าหนี้ ออกเป็นกลุ่มๆ
อย่างนี้" กิติพงศ์อธิบายเหตุผล
"หากเจ้าหนี้ไหนที่ค้าน ซึ่งอาจจะเป็นเจ้าหนี้ที่มีมูลหนี้น้อย ผมไม่ต้องการให้เขามาบล็อกแผนของผม
ผมก็จะเอาเงินไปจ่ายเขา ภายใน 15 วัน นี่ก็จะทำให้แผนได้รับการอนุมัติง่ายขึ้น
ซึ่งหลักการตรงนี้เอามาจากของสหรัฐ คือหากคุณไม่กระทบ คุณไม่ควรจะมีสิทธิโหวต
เพราะฉะนั้นทุกคนต้องมาคิดเพื่อประโยชน์ของบริษัท" เขากล่าวเสริม
- ประเด็นที่ 2 ที่แก้ไขต่อมาคือ เรื่อง ดุลยพินิจของศาล คือเดิมตามกฎหมายปัจจุบัน
หากเจ้าหนี้อนุมัติ ลูกหนี้อนุมัติ เห็นด้วย แต่หากมีเหตุอันสมควร ศาลไม่อนุมัติเห็นด้วยก็ได้
แต่ในกฎหมายใหม่ที่แก้ไขแล้วบอกไม่ได้ หากลูกหนี้และเจ้าหนี้ตกลงกันมาแล้ว
ศาลมีหน้าที่อย่างเดียว ต้องอนุมัติ ให้ลดอำนาจศาลตรงนี้ ซึ่งทางฝ่ายศาลยินยอม
-ประเด็นที่ 3 เป็นเรื่องของการที่เจ้าหนี้ด้อยสิทธิไม่มีสิทธิโหวต นี่เป็นของใหม่
เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่า หากล้มละลายแล้ว ตนจะมีส่วนแบ่ง คือได้รับทรัพย์สิน
จึงจะมีสิทธิโหวต ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องยุ่ง จะไม่มีสิทธิโหวตเลย คือเขียนไปเหมือนให้เขาโหวต
แต่ไม่มีสิทธิเลย เท่ากับเป็นการสร้างหลักกฎหมายใหม่เรื่องเจ้าหนี้ด้อยสิทธิขึ้นมา
คือไม่มีสิทธิโหวต
- ประเด็นที่ 4 เรื่องหนี้บุริมสิทธิ ของลูกจ้าง คือหากบริษัทล้มละลาย
กฎหมายเดิมให้ลูกจ้างได้รับชำระเงินก่อนคนอื่นแค่ 300 บาท นี่ก็แก้ให้ได้
100,000 บาท เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ซึ่งกิติพงศ์ก็เห็นว่าน้อยไป
เพราะเท่ากับว่าได้เดือนละไม่ถึงหมื่นบาท
- ประเด็นที่ 5 เป็นเรื่องของกรณีที่ให้ผู้ทำแผน/ผู้บริหารแผนบอกเลิกสัญญาระยะยาวหรือสัญญาที่มีภาระเกินสมควรได้
เพราะตามกฎหมายล้มละลายปัจจุบัน คนที่มีสิทธิ์บอกเลิกได้ ต้องเป็นคนที่ล้มละลายไปแล้ว
เช่น ลูกหนี้ไปทำสัญญาเช่าระยะยาว 30 ปี หากเจ้าหนี้เข้ามาฟื้นฟูแล้วบอกเลิกสัญญาไม่ได้
นี่ก็แย่เลย กฎหมายบอกว่าต้องล้มละลายก่อนจึงจะเลิกได้ ซึ่งก็แก้ให้เป็นว่าเมื่ออยู่ระหว่างการฟื้นฟูก็สามารถขอเลิกได้
แล้วก็ไปฟ้องเรียกค่าเสียหายเอากับบริษัททีหลังได้ เพราะบริษัทล้ม ก็ไปขอรับชำระหนี้เอา
- ประเด็นที่ 6 เป็นเรื่องเล็กน้อย เป็นการปรับถ้อยคำในแผน ในกรณีที่ คือในแผนนี้จะมีมาตราหนึ่งที่สำคัญมากคือมาตรา
90/42 ที่บอกว่า เมื่อแผนอนุมัติ ไม่เอามาตราในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้
เช่น สามารถเพิ่มทุน ลดทุน ควบกิจการ ได้โดยไม่ต้องประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งกฏหมายเดิมที่เขียนนั้น
ลืมไปหลายมาตรา เช่น ที่บอกว่าเมื่อคุณจะแปลงหนี้เป็นทุนนั้น ไม่ต้องชำระเงินเข้าบริษัท
กฏหมายเดิมนั้น คุณต้องเอาเงินใส่เข้าไปก่อน แล้ว ค่อยถอนเงินมาจ่าย ตอนนี้ก็สามารถหักกลบลบหนี้ได้แล้ว
ไม่ต้องมีการจ่ายเงินสดออก
กิติพงศ์อธิบายว่า "เขาแก้แล้วเขาไปลืมแก้กฎหมายมหาชน ผมก็ไปเติมให้ชัด
เพราะนี่เป็นมาตราที่สำคัญที่สุดและไม่มีในกฎหมายอื่นในโลก ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่สร้างกฎหมายนี้ขึ้นมา
เหมือนกับแบงก์ชาติ ที่สั่งให้ลดทุนเพิ่มทุนได้เองโดยศาล นี่เป็น special
feature สั่งลดทุน เพิ่มทุน ควบกิจการ สั่งได้หมดโดยศาล คือเขียนลงในแผนฟื้นฟูแล้วใช้ศาลเป็นเครื่องมือในการสั่งการ
ผมไปแก้เพิ่มเรื่องของบริษัทมหาชน และที่แก้เพิ่มที่สำคัญมากคือขอให้เอา
premium ซึ่งกฏหมายปัจจุบันนี้ห้าม แตะห้ามเอาไปหักกับผลขาดทุนด้วย จะแตะได้อย่างเดียวเมื่อบริษัทล้มละลาย
ทีนี้ผมทำดีลฟินวันกับไทยทนุ เจอกฎหมายข้อนี้ ก็ตาย พรีเมียมของฟินวันมากมาย
ไปหักกับผลขาดทุนไม่ได้เลย ถ้าหักได้บัญชีมันก็จะดีขึ้น (พรีเมียมตัวนี้อยู่ในกำไรส่วนเกิน)
กฏหมายห้ามเอาไปหัก ให้ตั้งไว้อย่างนี้จนกว่าจะเลิกบริษัท ทีนี้เราก็แก้ตัวนี้เสีย
คือให้สามารถเอาไปใช้ได้ ดังนั้น structure อะไรก็ง่าย ก็เติมเข้า ไป"
นอกจากนี้ ยังมีอีกบางจุดที่กิติพงศ์อยากจะให้แก้ไขเติมเข้าไปด้วย แต่ที่ประชุมคณะกรรมการฯไม่ยอม
เช่นเรื่องที่ว่า หากมีการแปลงหนี้ใหม่ แล้วมีการโอนขาย loan ไปนั้น ไม่ต้องขอความยินยอมจากลูกหนี้
อะไรอย่างนี้ เขากล่าวว่า "หากใส่ไป ก็จะเกิดความขัดแย้ง ซึ่งมันก็จริงๆ
ด้วย ตอนที่ผมไปแก้กฎหมาย ปรส.นั้น พอเสนอตรงนี้ไป โดนตียับเลย เพราะผมไปแก้หลักกฎหมายแพ่ง"
อีกเรื่องคือในมาตรา 94/2 ที่บอกว่า ถ้ารู้ว่าบริษัทล้มละลาย ให้เงินเข้าไป
จะไม่ได้รับการชำระหนี้คืน เว้นแต่จะเข้าฟื้นฟูกิจการ จึงจะได้รับชำระหนี้คืน
ซึ่งประเด็นนี้มีคนโจมตีมาก "หากผมไม่เข้าฟื้นฟูกิจการ ผมไม่เข้ากฎหมายนี้
แล้วผมไปทำเอง แล้วเจ้าหนี้ให้เงินผมมานี่ เจ้าหนี้ควรจะขอรับชำระหนี้ได้
ถูกไหม เพราะกฎหมายปัจจุบันนี่ขอไม่ได้เลยนะ ซึ่งทางคณะกรรมการฯ ก็แก้กฎว่าหากให้โดยสุจริต
ก็สามารถ ขอรับชำระหนี้ได้"
อีกเรื่องที่ผมแพ้ แต่ผมยังไม่ยอม คือเรื่องที่ว่าเมื่อให้เงินไปแล้วไม่ได้รับชำระหนี้คืน
ก็แก้ให้เป็นว่าได้รับชำระหนี้คืนแล้ว ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ กิติพงศ์มีความเห็นว่า
"จริงๆ แล้วเมื่อให้เงินไป ผมกล้าเอาเงินใส่เข้าไปในบริษัทที่ล้มละลาย ผมควรจะได้รับบุริมสิทธิหรือ
piority ถูกไหม หากผมต้องรอให้แผนอนุมัติเสียก่อนนั้นก็หมายความว่าต้องไปเขียนในแผน
ผม บอกว่าทำไมไม่เขียนในกฎหมายเลยว่า ใครที่ใส่เม็ดเงินใหม่เข้าไป ในกรณีที่ลูกหนี้ล้มละลาย
โดยสุจริต เขาควรจะได้ piority หรือบุริมสิทธิ ซึ่งทางคณะกรรมการฯบอกไม่ได้หรอก
ถ้าทำอย่างนี้แล้วหากบริษัทเกิดล้มขึ้นมา ผู้ถือหุ้นหรือเจ้าหนี้อื่นก็จะขาดทุน"
แต่หากมองอีกแง่มุมหนึ่ง เมื่อบริษัทล้มละลายแล้ว ผู้ถือหุ้นหรือเจ้าหนี้ทั้งหลายก็ควรจะได้แค่
1 สตางค์ เพราะบริษัทไม่มีค่าแล้ว "จริงๆ แล้ว หากล้มละลายแล้ว ไม่ควรจะได้อะไรเลยนะ
เว้นแต่จะขายทรัพย์สิน แล้วเกิดราคามันดี นั่นจึงจะได้ แต่ถ้าคนที่กล้าเอาเงินมาให้ก็เท่ากับกล้ารับความ
เสี่ยง หาญกล้าแล้ว ก็ควรให้เขา หาก บริษัทเกิดรอด พวกเขาก็ได้ประโยชน์ ใช่ไหม
ในต่างประเทศ เป็น super piority ด้วยซ้ำ เหนือกว่าเจ้าหนี้ประกันด้วยซ้ำไป
แต่เราไม่ต้องการอย่างนั้น เราต้องการแค่ให้มีบุริมสิทธิ เจ้าหนี้มีประกันก็ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย"
ซึ่งประเด็นนี้ทางคณะกรรมการฯ ยังไม่เห็นด้วยกับกิติพงศ์
ทั้งนี้เขามองว่าหัวใจของการฟื้นฟูกิจการก็คือการเอาเม็ดเงินใหม่ใส่เข้ามาในบริษัท
หากไม่มีใครกล้าใส่เม็ดเงินใหม่เข้ามา บริษัทก็ต้องเจ๊ง จะทำอย่างไรก็ไม่รอด
ดังนั้นแม้จะเขียนประเด็นนี้ให้ชัดเจนในแผน แต่หากคนเขียนแผนเกิดโง่ ไม่รู้จะทำอย่างไร
ก็ควรจะเขียนเป็นกฎหมายเสียเลยให้ชัดเจน สร้างบุริมสิทธิเสียในกฎหมายเลย
แต่ความเห็นในประเด็นนี้ไม่ผ่านในคณะกรรมการฯ ซึ่งกิติพงศ์มองว่าก็อาจจะมีปัญหาเกิดขึ้นอีกได้ในอนาคต
อย่างไรก็ดี ขั้นตอนของการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ แม้จะนำเข้าที่ประชุม ครม.แล้ว
ก็ยังจะมีการให้ความเห็นและสามารถตั้งคณะกรรม การขึ้นมาเพิ่มเติมแก้ไขกันได้อีก
แนวทางที่ธนาคารโลกแนะนำไว้คือ กฎหมายฉบับนี้จะต้องเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติภายในเดือนกรกฎาคม
และมีผลบังคับใช้ภายในเดือนธันวาคมปีนี้ ซึ่งดูจะเชื่องช้าอยู่ไม่น้อย ทั้งที่การฟื้นฟูกิจการในยามนี้ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนของภาคเอกชน
และเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ไขปัญหาหนี้สินจำนวนมากในระบบ
แต่ถ้ารัฐบาลเห็นความจำเป็นเร่งด่วนจริง ก็สามารถรีบผลักดันเรื่อง นี้ออกมาให้เร็วกว่านี้ได้
ซึ่งก็ต้องรอดูแนวทางของรัฐบาลว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
กิติพงศ์จบเกียรตินิยมนิติ ศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อปี 2519
และศึกษาต่ออีกหลายแห่ง ทั้งในและนอกประเทศ เขามีบทบาทในกฎหมายธุรกิจที่สำคัญหลายเรื่อง
เช่น เป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายคณะอนุกรรม การพิจารณาแนวทางกำกับตลาดอนุพันธ์(ก.ล.ต.)
พ.ศ.2537-2539 และคณะ อนุกรรมการเฉพาะกิจด้านการเงินการคลังเพื่อสังคม สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
กระทรวงการคลัง พ.ศ. 2538-2539 นอกจากนี้ยังมีโอกาสเสนอแนวคิดเรื่องการปฏิรูปกฎหมายไทยซึ่งธนาคารโลกให้ความสนใจเรื่องนี้
และมีการอนุมัติเงินเพื่อการศึกษาเรื่องการปฏิรูปกฎหมายไทยด้วย
เขาเคยมีส่วนช่วยเสนอความเห็นเกี่ยวกับกฎหมายองค์กรชุมชน หรือกฎหมาย NGO
ร่วมกับ ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม และโสภณ สุภาพงษ์ ด้วย