หลังจากใช้เวลาแต่งตัวนานกว่า 3 ปี นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งนิคมอุตสาหกรรมอัญธานี
(GEMOPOLIS) ตลอดจนจัดตั้งสมาคมผู้ประกอบการเจียระไนเพชรระหว่างประเทศแห่งกรุงเทพมหานคร
และตลาดกลางการค้าเพชรและอัญมณีระหว่างประเทศแห่งกรุงเทพมหานคร หรือ BDPE
(BANGKOK DIAMONDS AND PRECIOUS STONES EXCHANGE)
ในที่สุดอุตสาหกรรมอัญมณีไทย ก็ประสบความสำเร็จในการเข้าเป็นสมาชิกน้องใหม่ของสมาพันธ์ตลาดกลางค้าเพชรโลก
หรือ WFDB (WORLD FEDERATION OF DIAMOND BOURSES) ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกทั้งสิ้น
21 ราย
ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยยังได้รับการอนุมัติจาก WFDB ให้เป็นเจ้าภาพจัดงาน
WORLD DIAMOND CON-GRESS ครั้งที่ 28 ขึ้นที่กรุงเทพมหานคร ในวันที่ 26-29
กรกฎาคมที่จะถึงนี้ โดยมีสมาคมผู้ประกอบการเจียระไนเพชรและ BDPE เป็นหัวหอกในการจัดงาน
ภายใต้ความร่วมมือสนับสนุนจากสมาพันธ์ตลาดกลางค้าเพชรโลก และสมาคมผู้ประกอบการเจียระไนเพชรระหว่างประเทศ
รวมทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย
"สินค้าทุกอย่างต้องมีการทำงานของภาคการผลิตและภาคการตลาดที่ควบคู่กันไปเสมอ
และนี่คือเหตุผลที่การประชุมเรื่องเพชรโลกจึงต้องมีหน่วยงานสองส่วนนี้มาประชุมกันเป็นประจำทุก
2 ปี คือ ผู้แทนจากสมาคมผู้ประกอบการเจียระไนเพชรระหว่างประเทศ (ภาคการผลิต)
และสมาพันธ์ตลาดกลางค้าเพชรโลก (ภาคการตลาด) และงานนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย
หากว่าสมาคมเจียระไนเพชรและตลาดกลางการค้าเพชรของเรายังไม่เกิด และทั้งสององค์กรนี้ต้องเป็นสมาชิกของโลกด้วย
จากนั้นที่ประชุมใหญ่ของ โลกจะต้องมองเห็นความพร้อมและความเหมาะสมในการจัดงานได้
เขาจึงอนุมัติให้ไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดงานครั้งนี้" ดร.สวราช สัจจมาร์ค
รองประธาน BDPE กล่าวในฐานะหนึ่งในแกนนำผู้ผลักดันให้เกิดงานประชุมเพชรโลกขึ้นที่ประเทศไทย
สำหรับผลประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับจากการจัดงานครั้งนี้เรียกว่ามีแต่คุ้มกับคุ้ม
หากเปรียบก็คงเปรียบได้กับการช่วงชิงการเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์
ที่จะจัดขึ้นในปีนี้ที่ประเทศไทยเช่นเดียวกัน ต่างแต่เพียงงานหลังนี้ต้องใช้กำลังภายในชนิดที่เลือดออกซิบๆ
ทีเดียว
ประโยชน์ประการแรกที่ประเทศไทยจะได้รับจากการจัดงานครั้งนี้คือ เป็นการขยายฐานการส่งออกเพชรและอัญมณีของไทยไปสู่ตลาดใหม่ๆ
รวมทั้งเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างนักธุรกิจนานาประเทศ ซึ่งเป็นโอกาสในการขยายการค้าและการลงทุนร่วมกันในอนาคต
ยิ่งไปกว่านั้น ผลทางอ้อมที่ผู้ที่เกี่ยวข้องในธุรกิจนี้ต้องการผลักดันให้เกิดขึ้นก็คือ
เป็นการสร้างภาพพจน์ที่ดีของอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทยออกสู่สายตาชาวไทยและชาวโลก
ให้ได้รับรู้ถึงความพร้อมในการเป็นศูนย์กลางการผลิตและการค้าเพชรและอัญมณีที่มีศักยภาพแห่งหนึ่งของโลก
"การที่เราจัดงานทั้งหลายขึ้นมา เป็นความพยายามที่จะเผยแพร่ชื่อเสียงของประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับอย่างเป็นทางการ
เพราะในเวลานี้รู้กันเฉพาะคนในวงการธุรกิจอัญมณีเท่านั้นว่าฝีมือคนไทยทัดเทียมระดับโลก
ส่วนคนที่อยู่นอกธุรกิจยังไม่รู้ แม้กระทั่งคนไทยด้วยกันเองที่ยังมีความเข้าใจผิดๆ
ว่า ซื้อเพชรดีมีคุณภาพต้องซื้อจากต่างประเทศ หารู้ไม่ว่าเพชรเหล่านั้นแหละมาจากฝีมือคนไทย"
พิเชษฐ รมหุตติฤกษ์ ชี้แจงในฐานะเลขาธิการ BDPE ผู้เป็นอีกหนึ่งเรี่ยวแรงสำคัญในการจัดงานนี้
นอกจากนี้ ดร.สวราช ได้เสริมว่า ประเทศไทยมีชื่อเสียงในการเจียระไนเพชรเม็ดเล็กขนาดประมาณ
2-5 สตางค์เป็นอันดับหนึ่งของโลก จนถึงขั้นที่มีการเรียกวิธีการเจียระไนเพชรของไทยว่าเป็น
"BANGKOK CUT" เลย ทีเดียว และผู้ซื้อรายใหญ่ของไทยก็คือ เบลเยียม
"แสดงว่าเราผลิตแล้วเขามาซื้อไปขายที่นั่น และคนทั่วโลกก็ไปซื้อจากที่นั่น
รวมทั้งคนไทยด้วย และพร้อมใจกันบอกว่า เป็นเพชรจากเบลเยียม ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด
เพราะเพชรนั้นไม่ว่าจะขุดได้จากที่ไหนในโลกก็ตาม จะต้องมารวมกันที่บริษัท
เดอ เบียส์ จากนั้นเดอ เบียส์ ก็จะคัดเกรดตามขนาดตามคุณภาพและขายผ่านเอเยนต์ไปยังผู้ผลิตอีกที
ฉะนั้นหากจะกล่าวกันตามจริงก็คือ เพชรมาจากแหล่งเดียวกันเป็นหลักคือมาจากเดอ
เบียส์ นั่นเอง"
ปัจจุบัน ผู้ผลิตและส่งออกเพชรรายใหญ่ของโลกมีด้วยกัน 4 ประเทศ คือ เบลเยียม
อิสราเอล นิวยอร์ก อินเดีย และไทยกำลังจะกลายมาเป็นประเทศที่ 5 หากได้รับความร่วมมือกันพัฒนาและสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากทั้งภาครัฐและเอกชน
อย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้และต่อเนื่องไปในอนาคต
"สำหรับศักยภาพความพร้อมของไทยในการเป็นศูนย์กลางการผลิตและการค้าเพชรของโลกนั้น
ประเทศไทยไม่ได้มีอะไรที่ด้อยกว่าศูนย์เพชรใหญ่ๆ ของโลก เช่น เบลเยียมหรืออิสราเอลเลย
ทั้งสองประเทศนี้เขาก็ต้องนำเข้าวัตถุดิบเหมือนเรา แต่ค่าแรงและค่าโสหุ้ยเขาแพงกว่าเรามาก
ส่วนในเรื่องของการขนส่งก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเราเลย ฉะนั้นหากพิจารณากันจริงๆ
เราไม่มีอะไรที่เสียเปรียบเขาเลย แล้วทำไมเราถึงจะเป็นศูนย์กลางการค้าและการผลิตเพชรของโลกไม่ได้"
พิเชษฐกล่าว
และมุมมองของดร.สวราชยิ่งเป็นการยืนยันว่าประเทศ ไทยเหมาะที่จะเป็นศูนย์กลางการผลิตและการค้าเพชรของโลก
กล่าวคือ "ภูมิประเทศของประเทศไทยเอื้อให้สามารถมีสายการบินหลักที่บินมาประเทศไทยแบบ
NON-STOP ได้ เช่น บินตรงจากปารีส จากลอนดอน หรือบราซิล เป็นต้น และการค้าของประเทศไทยเป็นรูปแบบการค้าเสรี
มีกฎกติกาเป็นที่ทราบกันโดยสากล และข้อได้เปรียบยิ่งกว่าประเทศอื่นก็คือ
สังคมไทยไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนา หรือรังเกียจคนต่างชาติ ประกอบกับบรรยากาศด้านอื่นๆ
ของประเทศก็เอื้อต่อการประกอบพาณิชยกรรม อาทิ ค่าโรงแรมไม่แพง เดินทางสะดวก
อาหารอร่อย ที่เที่ยวเยอะ ใครมาก็ติดใจทั้งนั้น คุ้มจะตายมาลงทุนในเมืองไทย
ฉะนั้น ในเมื่อทุกอย่างดี เราก็ค่อยๆ ทำให้เป็นที่รู้จักกันมากขึ้นว่า ทำไมต้องไปลงทุนที่ประเทศอื่นมาที่ประเทศไทยสิดีกว่า
และเมื่อประเทศไทยมีการค้าขายกันมากขึ้น สินค้าวัตถุดิบก็จะผ่านมาที่นี่มากขึ้น
เราก็มีโอกาสในการเลือกคุณภาพวัตถุดิบได้ดีและหลากหลายแบบมากขึ้น การแข่งขันก็สูงขึ้นในที่สุดก็จะมีการควบคุมราคากันตามกลไกเอง
ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นการสร้างงานให้กับคนไทยอีกด้วย เพราะโดยเฉลี่ยแล้วมีคนที่เกี่ยวข้องอยู่ในอุตสาหกรรมนี้ไม่ต่ำกว่า
6 แสนคนต่อปี และคิดเป็นเม็ดเงินที่สร้างรายได้ให้แก่ประเทศไม่ต่ำกว่าปีละแสนล้านบาท"
อย่างไรก็ดี แม้ไทยจะมีศักยภาพความพร้อมอยู่มาก แต่การดำเนินการต่างๆ ต้องเป็นไปอย่างรอบคอบและระมัดระวัง
เนื่องจากปัจจุบันค่าแรงของเพื่อนบ้านถูกกว่ามาก ฉะนั้นจากการที่เคยสบายใจกับการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าและคุณภาพต่ำ
จึงจำเป็นต้องมีการทบทวนและยกเลิกให้ประเทศอื่นผลิตแทน และหันมามุ่งเน้นพัฒนาผลิตสินค้า
ระดับกลางและระดับสูงให้มากยิ่งขึ้น