ในจังหวะที่ฮ่องกงกลับสู่การปกครองของจีนตั้งแต่เมื่อ 1 กรกฎาคม 2540 นั้น
เป็นช่วงที่ประเทศในเอเชียต้องเผชิญหน้ากับวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำที่ขยายไปในหลายประเทศในย่านนี้
เช่น ไทย อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ ซึ่งหลังจากเวลาผ่านไป 11 เดือนแล้ว สถานการณ์ความตกต่ำทางเศรษฐกิจก็เริ่มขยายตัวระลอกใหม่เข้าไปยังประเทศอื่นๆ
นอกจากนี้ด้วย
มร.โทมัส โซว ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกง กล่าวยอมรับว่าวิกฤติเศรษฐกิจระลอก
สองนี้ส่งผลกระทบต่อฮ่องกงแล้ว "ฮ่องกงก็ไม่ได้รอดพ้นจากภัยพายุครั้งนี้
ในปีนี้รัฐบาลฮ่องกงประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ต่ำมากที่ 3.5%
เมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่มีอัตราการเติบโตที่ระดับ 5.2%"
อย่างไรก็ดี เนื่องจากฮ่องกงมีพื้นฐานด้านโครงสร้าง และระบบต่างๆ ค่อนข้างเข้มแข็ง
ในตอนนี้จึงยังมีสถานะที่ดีกว่าประเทศเพื่อนบ้าน กล่าวคือฮ่องกงมีระบบการเงินที่มีเสถียรภาพ
โดยกลไกอัตราแลกเปลี่ยนที่มีกองทุนสำรองเงินตราต่างประเทศขนาดใหญ่เป็นพื้นฐานสนับสนุน
(ประมาณ 92.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ฮ่องกงนำระบบคณะกรรมการ คาบคุมอัตราแลกเปลี่ยนหรือ
Currency Board เข้ามาใช้เมื่อปี 2526 เพื่อดูแลเสถียรภาพค่าเงินฮ่องกง ซึ่งตอนนี้กำหนดให้เงิน
7.7 ดอลลาร์ฮ่องกง (โดยประมาณ) แลกได้ 1 ดอลลาร์สหรัฐ
ในด้านของกลไกตลาด ฮ่องกงมีระบบตลาดที่เปิดและมีกลไกดูแลตนเอง ซึ่งในตอนนี้รัฐบาลก็กำลังทบทวนกลไกปกป้องค่าเงิน
และการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์และตลาดล่วงหน้า (futures) มร.โซวกล่าวว่า
"เรากำลังดำเนิน งานปรับปรุงหลายอย่างเพื่อให้ระบบต่างๆ มีศักยภาพที่จะต้านทานความผันผวนของตลาด
และเป็นการให้การศึกษาแก่นักลงทุนด้วย"
เขาอธิบายว่า "ฮ่องกงมีระบบการบริหารการคลังที่เข้มงวดรัดกุมมาก มีการจำกัดการใช้จ่ายของรัฐบาลไม่ให้เกินกว่าอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ
(GDP) พูดง่ายๆ คือเราจ่ายจากสิ่งที่เราหาได้ และเราก็กู้น้อยมาก"
นัยตรงนี้ก็คือ โครงสร้างทางการเงินการคลังของฮ่องกงมีความแตกต่างไปจากประเทศเอเชีย
ที่ประสบวิกฤติเศรษฐกิจในเวลานี้ ซึ่งส่วนมากจะเริ่มมาจากปัญหาเรื่องความผันผวนของค่าเงินและหนี้สินต่างประเทศ
ซึ่งสองประเด็นนี้ มร.โซวก็อธิบายว่าไม่ใช่ประเด็นปัญหาของฮ่องกง ในเวลานี้
ในประเด็นเรื่องการเมืองซึ่งมีผู้พูดกันมากว่าในระบบ การปกครองภายใต้จีนนั้น
คนฮ่องกงจะถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพ และถูกครอบงำจากจีนมากขึ้น ซึ่งมร.โซวกล่าวว่า
"ตามนโยบายเรื่อง หนึ่งประเทศสองระบบนั้น คนฮ่อง กงได้บริหารฮ่องกงอย่างมีอิสระค่อนข้างสูง
ฮ่องกงยังคงใช้กฎหมายพื้นฐานที่ให้ความคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ และแบบแผนชีวิตของชาวฮ่องกง
ให้สิทธิในการบริหารเศรษฐกิจ และการเงินอย่างเต็มที่ ให้สถานะของการเป็นเขตพิเศษในการจัดการด้านศุลกากรของตนเอง
ตลอดจนค้ำประกันความเป็นอิสระของระบบตุลาการด้วย"
ในท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจที่ยื่นหายนะภัยมาสู่ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้นั้น
ฮ่องกงได้พยายามทำให้นักลงทุนต่างชาติมีความมั่นใจระดับหนึ่งว่า ฮ่องกงจะรอดพ้นได้
โดยรัฐบาลฮ่องกงมิได้ลดทอนงบประมาณด้านการพัฒนาประเทศลงแต่อย่างใด
รัฐบาลฮ่องกงตั้งงบประมาณการพัฒนาสาธารณูป การขั้นพื้นฐานไว้ถึง 30 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า
การลงทุนครั้งนี้มากเกินกว่าที่ฮ่องกงได้ลงทุนในโครงการพัฒนาท่าอากาศยาน
(The Airport Core Programme) ในรอบ 7 ปีที่ผ่านมาถึง 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นอกเหนือจากการพัฒนาท่าอากาศยานนานาชาติแห่งใหม่ของฮ่องกง ซึ่งเป็นโครงการสำคัญใน
ACP แล้ว ยังมีการสร้างเมืองใหม่สำหรับประชาชน 250,000 คน การสร้างสะพานแขวนสำหรับรถยนต์และรถไฟที่ยาวที่สุดในโลก
การสร้างทาง ด่วนและทางรถไฟเชื่อมต่ออากาศ ยานกับศูนย์กลางตามเมืองต่างๆ
รวมทั้งถนนหนทางและอุโมงค์รถไฟในบริเวณท่าเรือฮ่องกง ตลอดจนโครงการเวนคืนที่ดินขนาดใหญ่หลาย
โครงการ
การลงทุนเหล่านี้เป็นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ใหญ่มาก อาจกล่าวได้ว่าเป็นประตูบานใหญ่อีกบานหนึ่งที่เปิดเข้าสู่จีน
และนั่นจะเป็นบทบาทสำคัญของฮ่องกงในอนาคต