Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กรกฎาคม 2541








 
นิตยสารผู้จัดการ กรกฎาคม 2541
ทำไมรัฐบาลแก้ปัญหาขาดสภาพคล่อง & อัตราดอกเบี้ยสูงไม่ได้?             
 





ผ่านไป 1 ปีเต็มของการใช้นโยบายลอยตัวค่าเงินบาท สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศกลับมีแต่ปักหัวดิ่งลง ปัญหาเดียวที่แก้ไม่ตก คลี่คลายไม่ออก คือเรื่องการขาดสภาพคล่องทางการเงิน และอัตราดอกเบี้ย ในประเทศสูง ซึ่งทั้งสองประเด็นสัมพันธ์กับเรื่องภาระหนี้สินที่ทางการมีอยู่ในปัจจุบัน ดร.ธีระ อัชกุลแห่ง IFCT เสนอทางออกในเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจ เขาต้องการให้แก้ปัญหาเรื่องนี้โดยเร่งด่วน เพราะแต่ละนาทีที่ผ่านไป ภาระดอกเบี้ยของรัฐบาลก็พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งเพิ่มปัญหาให้ประชาชนผู้เสียภาษีหนักขึ้นด้วย แต่ดูเหมือนข้อเสนอของเขาจะไม่ใคร่ได้รับการตอบรับจากทางการสักเท่าใด ! ทำไม?

1 ปีเต็มของการใช้นโยบายลอยตัวค่าเงินบาท หรือที่เรียกว่า managed float rate กลับมีผลทำให้เศรษฐกิจยิ่งตกต่ำดิ่งวูบลงอย่างน่าใจหาย ธุรกิจ เอกชฟนพังพินาศไม่ว่าจะเป็นรายเล็กหรือรายใหญ่ ต่างดิ้นไม่หลุดจากวงจรอุบาทว์ของการขาดสภาพคล่องทางการเงิน และอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่สูงลิ่ว ซึ่งนโยบายประการหลังนี้เป็นการกำหนดของกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ ไอเอ็มเอฟ ที่ต้องการรักษาเสถียรภาพค่าเงินในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการตรึงอัตราดอกเบี้ยให้สูงไว้

อย่างไรก็ดี นโยบายอัตราดอกเบี้ยสูงได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภายในประเทศย่านนี้อย่างรุนแรง เพราะอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่ขอรับการช่วยเหลือจากไอเอ็มเอฟ ล้วนแต่ถดถอยกว่าที่ไอเอ็มเอฟคาดหมาย โดยเฉพาะประเทศไทยนั้น แม้ว่าจะมีความคืบหน้าในการเซ็นหนังสือแสดงเจตจำนงฯ หรือ letter of intent แล้วถึง 4 ฉบับ แต่ปรากฏว่าในสาระสำคัญของหนังสือแต่ละฉบับนั้น ต้องมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงตัวเลขการทำนายทางเศรษฐกิจใหม่ในทุกครั้งไป โดยเฉพาะตัวเลขการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ตัวเลขการส่งออก และอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (วัดจากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP Growth) (ดูตาราง Revised Macroeconomic Framework ประกอบ)

ส่งออกไม่ดี เฉพาะประเทศคู่ค้าในเอเชีย

การที่อัตราการส่งออกลดต่ำลงเรื่อยๆ นั้น หากพิจารณาให้รอบคอบจะเห็นว่า การส่งออกไปประเทศทางตะวันตกยังขยายตัวดีอยู่มาก แต่มีปัญหาเรื่องการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศในเอเชีย (ญี่ปุ่น และประเทศในกลุ่มอาเซียน - ดูตาราง - Export Growth by Major Market) เพราะประเทศเหล่านี้ก็มีปัญหาทางเศรษฐกิจเช่นเดียวกับประเทศไทย เช่น สิงคโปร์ก็มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำมากในปีนี้

ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าสาเหตุที่การส่งออกไทยไม่ดีในช่วงที่ผ่านมานี้ เป็นเพราะประเทศคู่ค้าที่สำคัญในแถบเอเชีย ต่างมีปัญหาทางเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน ไม่ใช่ปัญหาเรื่องเงินบาทอ่อนตัวไม่พอ แต่เป็นเพราะ "เศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ประสบปัญหาอย่างรุนแรงต่างหาก"

การส่งออกของประเทศในกลุ่มอาเซียนต่างไม่ดี (ดูกราฟ - ASEAN: Exports) ยกเว้น ฟิลิปปินส์ เพราะตลาดส่งออกรายใหญ่ของฟิลิปปินส์ คือสหรัฐฯ ดังนั้นฟิลิปปินส์จึงมีสถานะการส่งออกที่ดีที่สุดในภูมิภาคนี้

ไต้หวันเองก็มีปัญหาเรื่องการส่งออก จีนก็มีปัญหาเช่นกัน ถึงแม้ว่าจีนจะลดค่าเงินหยวนก็อาจจะขายสินค้าไม่ได้ เพราะประเทศคู่ค้าในแถบนี้ล้วนประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจด้วยกันทั้งสิ้น (ดูตาราง 4 - North Asia : Exports)

แนวทางไอเอ็มเอฟถูกแต่การประเมินตัวเลขเศรษฐกิจผิดตลอด

ดร.ธีระ อัชกุล กล่าวว่า "ผมเชื่อว่าแนวทางไอเอ็มเอฟมีหลายอันที่ถูก แต่จากตารางอันนี้ก็แสดงให้เห็นว่า ไอเอ็มเอฟมีที่ผิดด้วย คือ ไอเอ็มเอฟมีการประมาณการเศรษฐกิจไทยผิดพลาดอย่างคงเส้นคงวา" กล่าวคือในการประเมินสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเพื่อลงนามในหนังสือสัญญาแต่ละครั้งนั้น ไอเอ็มเอฟก็ประเมินสถานการณ์ทางเศรษฐกิจต่ำลงเรื่อยๆ ขณะที่นักวิเคราะห์อื่นๆ นั้นได้ประเมินต่ำสุดแต่แรกแล้ว เช่น รอยเตอร์ประเมินว่าไทยจะมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลง 5.5% บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมฯ (ไอเอฟซีที) ก็วิเคราะห์ไว้ที่ 5.5% เช่นกัน ขณะที่ไอเอ็มเอฟต้องใช้เวลานาน กว่าจะเห็นภาพว่าเศรษฐกิจไทยมีอัตราการเติบโตลดลงจริงๆ

นอกจากนี้ก็มีข้อน่าสังเกตว่า การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดเวลาในหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ทุกฉบับ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทางการไทยหรือไอเอ็มเอฟ มีการประเมินสถานการณ์ทางเศรษฐกิจดีกว่าเป็นจริง ไม่ทันเกมภาวะการถดถอยทางเศรษฐกิจของไทย และมองภาวะเศรษฐกิจดีกว่าที่เป็นจริง ทั้งนี้ทางการคิดว่าการส่งออกไทยน่าจะดี (แต่ในความเป็น จริงคือตัวเลขการส่งออกไม่ได้ดีขึ้น เพราะเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ต่างพังพินาศเหมือนกัน) "อาจกล่าวได้ว่า การเกินดุลเป็นอาการหรือ symptom ของภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ เมื่อมีภาวะเศรษฐกิจถดถอย จะมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด เพราะประเทศไม่มีเงินไปซื้อสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ ดุลบริการจึงเกินดุลมาก การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดครั้งนี้ ถือเป็นการเกินดุลที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย" ดร.ธีระตั้งข้อสังเกต

เมื่อทางการไม่เห็นว่าเศรษฐกิจไทยหนักหน่วงกว่าความเป็นจริง ทำให้ตั้งเป้าต่างๆ ผิดพลาด โดยเฉพาะเป้าหมายทางการเงิน ทั้งนี้ในภาวะที่เศรษฐกิจดี ทางการก็สามารถตั้งเป้าหมายทางการเงินให้ตึงได้ แต่ในยามเศรษฐกิจไม่ดี ควรจะมีการผ่อนคลายเป้าหมายทางการเงินลง

เมื่อทางการคาดหมายเป้าหมายทางเศรษฐกิจผิดพลาด ก็ทำให้ตั้งเป้าหมายนโยบายทางการเงินเข้มงวด โดยเฉพาะเป้าหมายในเรื่องที่อนุญาตให้ฐานเงินหรือ monetary base มีจำนวนสูงสุดได้เท่าไหร่ (ดูตาราง Targeted and Actual Monetary Base)

อนึ่ง ฐานเงินคือเม็ดเงินสุทธิที่ปล่อยออกไปจากแบงก์ชาติและกองทุนฟื้นฟูฯ ในช่องทางต่างๆ หรือเงินสดหมุนเวียนในมือภาคเอกชนและเงินฝากของสถาบันการเงินที่แบงก์ชาติ

เมื่อเดือน ธ.ค. 2540 รัฐบาลและไอเอ็มเอฟกำหนดเป้าหมายของฐานเงินไว้ที่ระดับ 489 พันล้านบาท หากไอเอ็มเอฟประมาณการเศรษฐกิจต่ำลงมากว่าที่ทำไว้ตอนนั้น (ที่คาดว่า GDP Growth จะเท่ากับ 3.5%) ก็จะให้ฐานเงินที่สูงกว่านี้ แต่ที่เป็นมาคือกำหนดฐานเงินให้ต่ำไป (ซึ่งหากคำนวณปริมาณเงินหมุนเวียนในประเทศ ต้องเอาตัวทวีคูณมาคูณ ซึ่งมีค่าประมาณ 8-10 หากฐานเงินต่ำกว่าที่ควรจะเป็นประมาณหมื่นล้านบาท ก็เท่ากับปริมาณเงินหมุนเวียนมีน้อยกว่าความต้องการจริงถึงแสนล้านบาท)

อีกตัวหนึ่งคือเรื่องการใช้จ่ายของรัฐบาล หากไอเอ็มเอฟยอมให้ทางการมีการขาดดุลงบประมาณได้ ตั้งแต่หนังสือแสดงเจตจำนงฉบับ 2 หรือ 3 ก็จะช่วยเรื่องนี้ได้ นอกจากนี้ฐานเงิน 489 พันล้านบาทค่อนข้างตึงไป แต่ทางการยังเพิ่มได้ไม่เท่าที่ไอเอ็มเอฟกำหนด คือเพิ่มแค่ 455 พันล้านบาทเท่านั้น จึงยิ่งทำให้เม็ดเงินที่จะไหลเข้ามาสู่ระบบหายไปเป็นจำนวนมหาศาล

เมื่อทางการเพิ่มฐานเงินแค่ 455 พันล้านบาท ดังนั้นในหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ฉบับที่ 3 ไอเอ็มเอฟจึงให้ฐานเงินแค่ 480 พันล้านบาทเท่านั้น หรือเพิ่มให้แค่ 25,000 ล้านบาท และทางการก็ปล่อยให้มีฐานเงินต่ำกว่านั้นลงไปอีก เหลือแค่ 451 พันล้านบาท ทำให้มีผลสะสมมาจนปัจจุบัน กล่าวคือไอเอ็มเอฟตั้งเป้าฐานเงินหดแคบลงเรื่อยๆ ขณะที่ทางการก็ปล่อยให้มีเม็ดเงินออกมาน้อยลงไปกว่าที่กำหนดอีก

หากทางการเพิ่มฐานเงินได้ตาม ที่ไอเอ็มเอฟอนุญาตให้ทำ ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาฐานเงินก็น่าจะเป็น 514 พันล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าความเป็นจริงอยู่ในตอนนี้

การกำหนดฐานเงินต่ำกว่าที่ควรจะเป็นและในทางปฏิบัติยังทำให้ต่ำลงไปอีก ก็ยิ่งเป็นการซ้ำเติมปัญหาเรื่องสภาพคล่องมากขึ้น ดร.ธีระกล่าวว่า "การกำหนดฐานเงินควรจะมีความอะลุ้มอล่วยมากกว่านี้ เพราะการเดินสะพัดของเงิน (velocity) ในปัจจุบันฝืดเคืองอย่างมาก นี่เป็นเรื่องหนึ่งซึ่งในการกำหนดเป้าหมายต่างๆ ของไอเอ็มเอฟควรรอบคอบ และทำตัวนี้ให้ดี หากทำตัวนี้ไม่ดี การคาดหมายอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจก็ผิดอยู่เรื่อยๆ"

เกินดุลบัญชีเกือบ 400,000 ล้านบาท ไม่ได้ช่วยเรื่องสภาพคล่องแม้แต่น้อย!

เมื่อมองไปที่ตัวเลขการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดซึ่งเป็นเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และถือเป็นการเกินดุลครั้งที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทยนั้น หากจะมีใครหวังว่าเม็ดเงินตัวนี้จะกลับเข้ามาช่วยสภาพคล่องนั้น คำอธิบายของ ดร.ธีระก็ช่วยทำให้ความหวังนั้นสลายไปในพลัน เพราะแบงก์ชาติประกาศนโยบายออกมาชัดเจนว่า ภายในปีนี้ต้องการลดภาระการทำ forward obligation ที่ทำไว้เมื่อมีการนำเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ ไปสู้การเก็งกำไรค่าเงินบาทในตลาดต่างประเทศ

ภาระ forward obligation มีประมาณ 23,000 ล้านเหรียญฯ เมื่อเดือนสิงหาคม 2540 (ดูตาราง - Net Forward Position) ซึ่งในเดือนพฤษภาคม 2541 สามารถลดลงเหลือ 13,400 ล้านเหรียญฯ แบงก์ชาติมีเป้าหมายว่าจะลดภาระตัวนี้ในตลาดออฟชอร์ หรือตลาดซื้อขายเงินตราต่างประเทศในต่างประเทศให้หมดภายในปีนี้ ซึ่งคาดว่าเป็นเม็ดเงินราว 1,800 ล้านเหรียญฯ และจะคงเหลือภาระนี้ในตลาดออนชอร์ หรือตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ในประเทศไว้เป็นจำนวน 9,000 ล้านเหรียญฯ

นั่นเท่ากับว่าเม็ดเงินที่เกิดจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดจะถูกใช้ไปในการทำ forward ตามนโยบายดังกล่าว การเกินดุลฯ ที่จะเกิดในปีนี้ประมาณ 7.3% ของ GDP หรือราว 367 พันล้านบาทนั้น จะไม่ช่วยสภาพคล่องหรือช่วยระบบเศรษฐกิจในปีนี้เลย!

ดร.ธีระให้ความเห็นว่า "ปีนี้เป็นปีที่ต้องล้างบ้านให้สะอาด หรือแก้ไขปัญหาให้ได้"

ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพแล้ว แต่ยังผันผวนได้อีก ขึ้นอยู่ที่เยนกับหยวน

ในช่วงที่เงินเยนมีค่าแข็งขึ้นมากในระยะ 3 เดือนที่ผ่านมา จากที่เคยอยู่ในระดับ 130 เยนต่อ 1 เหรียญฯ ได้อ่อนตัวลงสู่ระดับ 145 เยนต่อ 1 เหรียญฯ เมื่อกลางเดือนมิถุนายน และเป็นช่วงที่มีค่าผันผวนมากนั้น (ดูกราฟ - USD/JPY Exchange Rate Movement) ปรากฏว่าเงินบาทมีเสถียรภาพมาก โดยนับแต่เดือนเมษายน 2541 เป็นต้นมา เงินบาทมีค่าอ่อนลงเพียง 2.8% เท่านั้นเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ ขณะที่ค่าเงินสกุลอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ต่างอ่อนตัวลงมากกว่าค่าเงินบาท (ดูตาราง -% Change of Exchange Rates)

สกุลเงินที่มีค่าอ่อนลงมากที่สุด คงหนีไม่พ้นเงินรูเปียของอินโดนีเซีย ที่มีค่าอ่อนลงถึง 42.86% ขณะที่เงินวอนของเกาหลีใต้กลับมีค่าแข็งขึ้นด้วยซ้ำ

ดร.ธีระมองว่าค่าเงินบาทกลายเป็นสกุลที่แข็งมากที่สุด เมื่อดูจากตารางนี้มีการแกว่งตัวน้อยมาก เพราะมาตรการต่างๆ ที่ดำเนินมาค่อนข้างถูกต้อง โดยเฉพาะล่าสุดที่มีการประกาศมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ เขากล่าวว่า "บันไดขั้นแรก เราสามารถก้าวขึ้นมาได้แล้ว แต่ขั้นต่อไปคือการแก้ปัญหาสภาพคล่อง ซึ่งตอนนี้ภาคธุรกิจกำลังเผชิญภาวะที่หนักหน่วงที่สุด ภาค real sector อ่อนแอลงทุกที"

การที่ภาคธุรกิจอ่อนเปลี้ยและหมดแรงลง ย่อมส่งผลกระทบต่อประเด็นเรื่องคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ เมื่อก่อนมีการพูดถึง NPL ของธนาคารพาณิชย์ในระดับ 20%-25% ครั้นมาตอนนี้คาดว่าน่าจะถึงระดับ 30%-35% แล้ว และหากไม่แก้ปัญหาเรื่องสภาพคล่องและอัตราดอกเบี้ยที่สูงลิ่ว ตัวเลข NPL อาจโดดไปถึงระดับ 40% ได้

อย่างไรก็ดี ค่าเงินเยนที่มีเสถียรภาพอยู่ได้ในช่วงนี้เป็นเพราะสหรัฐฯ ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการแทรกแซงค่าเงิน นักค้าเงินทราบดีว่า โอกาสที่สหรัฐฯ จะเข้าแทรกแซงค่าเงินเยนเป็นครั้งคราวยังมีอยู่ โดยเฉพาะเมื่อเยนเคลื่อนแตะระดับ 145 เยนต่อดอลลาร์

การที่เงินเยนจะมีค่าแข็งได้นานแค่ไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางเศรษฐกิจภายในประเทศของญี่ปุ่นเองด้วย มิใช่อยู่ที่การแทรกแซงค่าเงินแต่เพียงอย่างเดียว

ส่วนค่าเงินหยวนของจีนนั้น ทางการจีนก็ได้ประกาศชัดเจนว่าจะไม่มีการประกาศลดค่าเงินเหมือนสกุลอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ และประเด็นสำคัญคือทางการจีนมีทุนสำรองเป็นเงินตราต่างประเทศถึง 155 พันล้านเหรียญ ซึ่งถือเป็นปริมาณที่สูงสุดเป็นอันดับ 2 ในโลก และยังมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดถึง 10 พันล้านเหรียญด้วย ฐานะของจีนจึงแข็งแกร่งมั่นคงมาก

แก้ปัญหาสภาพคล่อง กลายเป็นเรื่องภาระหนี้ของทางการ

การแก้ปัญหาสภาพคล่องเริ่มเป็นประเด็นหลักของทางการในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในเวลานี้ แต่รัฐและภาคเอกชนอาจจะมองแนวทางแก้ปัญหานี้อย่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

หากได้พิจารณาตัวเลขที่จะกล่าวต่อไปนี้ จะเห็นว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อมากจริงๆ ที่ทางการสามารถสร้างภาระหนี้สิน เพื่อแก้ปัญหาในระบบการเงินไทยยุคเศรษฐกิจฟองสบู่แตกได้มากถึงเพียงนี้!

ทั้งนี้ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (กองทุนฟื้นฟูฯ) ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งในแบงก์ชาติ ได้เข้าไปโอบอุ้มช่วยเหลือสถาบันการเงินไทยนับแต่ก่อนเริ่มวิกฤติเศรษฐกิจ ซึ่งจนถึงเดือนมีนาคม 2541 ที่ผ่านมา ปรากฏว่ากองทุนฟื้นฟูฯ มีภาระหนี้อยู่ประมาณ 8.5 แสนล้านบาท ในปัจจุบันอาจเพิ่มขึ้นถึงระดับ 9 แสน- 1 ล้าน ล้านบาทแล้วก็เป็นได้

นอกจากนี้ก็มีการคาดหมายว่า กองทุนฟื้นฟูฯ จะมีภาระขาดทุนจากการขายสินทรัพย์ของ 56 ไฟแนนซ์ เป็นมูลค่าประมาณ 4-5 แสนล้านบาทด้วย

อีกหน่วยงานหนึ่งที่มีภาระการเงินก็คือแบงก์ชาตินั่นเอง ซึ่งนโยบายที่จะลดภาระ forward obligation ในตลาดออฟชอร์ให้หมดภายในปีนี้ ซึ่งคิดเป็นเงินไทยอาจถึงระดับ 3 แสนล้านบาท ก็เป็นภาระก้อนใหญ่ทีเดียว

ดังนั้น เฉพาะ 2 หน่วยงานนี้อาจนับรวมเป็นภาระหนี้ที่ทางการมีพันธะอยู่คิดเป็นเม็ดเงินถึง 1 ล้านล้านบาทก็เป็นได้

กองทุนฟื้นฟูฯ นั้นมีการกู้เงินในระบบเศรษฐกิจโดยตรง ซึ่งจุดนี้ทำให้ปัญหาลามออกมา โดยช่องทางที่กองทุนฯ ดูดเม็ดเงินออกไป คือจากตลาด Interbank ซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหาสภาพคล่องตึงตัว

หากคำนวณเล่นๆ ภาระหนี้ขนาดนี้ในอัตราดอกเบี้ยประมาณ 18% คิดเป็นภาระดอกเบี้ยวันละ 490 ล้านบาท หรือปีละ 1.8 แสนล้านบาทนั่นเอง ซึ่งเม็ดเงินที่จะนำไปจ่ายนั้นก็มาจากภาษีของประชาชน

ตัวเลขเหล่านี้เป็นการคำนวณในสมมติฐานที่ปัจจัยต่างๆ หยุดนิ่ง แต่ในสถานการณ์จริงๆ ไม่ได้เป็นเช่นนั้น โอกาสที่ประเทศจะออกจากวิกฤติครั้งนี้มีอยู่แน่นอน

หากพิจารณาดูประเทศเพื่อนบ้านอย่างเกาหลีใต้ซึ่งมีภาระหนี้เหมือนไทย การประกาศแปรรูปรัฐวิสาหกิจ พร้อมกับมีการคาดหมายว่าจะได้รับเม็ดเงินมาชำระหนี้ประมาณ 8 แสนล้านบาท เป็นมาตรการชัดเจนที่ช่วยให้ค่าเงินวอนของเกาหลีใต้มีเสถียรภาพอย่างยิ่ง ในช่วงที่เงินเยนมีการแกว่งตัวอ่อนลงมาก ดังนั้น จึงเห็นได้ว่ามาตรการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เป็นมาตรการหนึ่งที่จะช่วยในการลดภาระหนี้สินของทางการได้ หากมีการดำเนินการอย่างชัดเจนโปร่งใส

ดร.ธีระคาดหมายว่า หากมีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจในปีนี้ อาจจะได้เม็ดเงินมาประมาณ 40,000 ล้านบาท โดยการลดการถือครองหุ้นในหมวดพลังงานลงเล็กน้อย แต่การทำเช่นนี้จะได้เม็ดเงินมาในจำนวนไม่มากนัก ทางการต้องมีนโยบายที่ชัดเจนและทำให้เป็นเรื่องเป็นราว มีรายได้เข้ามามากกว่านี้เพื่อการชำระหนี้

วิธีการแก้ไขปัญหาสภาพคล่องที่ชัดเจนที่สุดในตอนนี้คือ การลดภาระหนี้ของทางการลง เพื่อไม่ให้หน่วยงานของทางการเข้ามาดูดเม็ดเงินออกจากระบบ และไม่ให้อัตราดอกเบี้ยที่สูงขนาดนั้น (18% ซึ่งในตอนนี้ลดลงเหลือ 17% แล้ว และทางการพยายามลดอัตราดอกเบี้ยอินเตอร์แบงก์ลงเรื่อยๆ) จูงใจให้สถาบันการเงินนำเงินฝากมาปล่อยกู้ให้ทางการ แทนที่จะไปปล่อยกู้ให้กับภาคธุรกิจเอกชน

การลดภาระหนี้ของทางการลงนี้ ไม่ใช่ว่าให้ลดลงให้หมดจนเหลือศูนย์ แต่หมายความว่าให้ลดลงอยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้โดยไม่ต้องมีผลกระทบต่อเม็ดเงินในระบบ

เป็นที่คาดหวังว่า การออกพันธบัตรรัฐบาล (Global Bond) ซึ่งเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยดึงเม็ดเงินเข้ามาสู่ระบบได้โดยตรงจะช่วยแก้ปัญหาสภาพคล่องได้ แต่ตอนนี้ก็ยังเป็นที่จับตารอดูอยู่ว่าจะออกพันธบัตรได้เมื่อไหร่และมีความต้องการ (demand) ในตลาดต่างประเทศมากน้อยเพียงใด ใช้อัตราดอกเบี้ยเท่าไร ฯลฯ

แม้บทสรุปในเรื่องนี้จะอยู่ที่ประเด็นการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ซึ่งมีผู้ให้ความสนับสนุนเห็นด้วยในแง่มุมต่างๆ กันจำนวนมาก และที่คัดค้านก็มีเป็นจำนวนมากยิ่งกว่า จนหากมีการปะทุประเด็นนี้ขึ้นในรอบใหม่ คงหนีไม่พ้นประเด็นทางการเมืองเป็นแน่ แต่การดำเนินการในเรื่องนี้ของทางการเป็นไปอย่างเชื่องช้ามาก แม้ว่าล่าสุดจะมีการอนุมัติจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้จัดตั้งหรือยกฐานะหน่วยงาน ที่ดูแลเรื่องรัฐวิสาหกิจในกระทรวงการคลัง ขึ้นมามีฐานะเทียบเท่ากรมแล้ว และมีการจัดสรรตำแหน่งบุคลากรให้บางส่วน แต่การดำเนินการงานการแปรรูปรัฐวิสาหกิจก็ยังมีลักษณะต่างคนต่างทำ โดยเจ้ากระทรวงแต่ละแห่งต่างพิจารณาไปเรื่อยๆ ขาดเป้าหมายเรื่องกรอบเวลาที่ชัดเจน

ดังนั้น การที่จะใช้มาตรการนี้มาช่วยแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจปัจจุบัน จึงเป็นเรื่องที่ยังต้องรอดูต่อไป

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us