Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กรกฎาคม 2541








 
นิตยสารผู้จัดการ กรกฎาคม 2541
วีซ่าพลิกกลยุทธ์รับภัยมืดเศรษฐกิจ             
 


   
search resources

วีซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย)




ความสับสนที่เกิดขึ้นในใจใครกันแน่ที่กุมอำนาจการบริหารของประเทศไทย ระหว่างรัฐบาลชวน หรือไอเอ็มเอฟ มันได้กลายมาเป็นความขมขื่นแห่งชีวิตของคนไทยวันนี้ เพราะความเป็นอยู่และมาตรฐานของชีวิตเริ่มตกต่ำลงอย่างน่าใจหาย เงินทองที่เคยหาได้มาอย่างง่ายๆ เหมือนเก็บเบี้ยใต้ถุนร้านในยุคที่เศรษฐกิจรุ่งเรือง ไม่มีอีกแล้วในยุคนี้ ทุกคนขอเพียงอยู่รอดไปวันๆ ไม่มีอนาคตให้ต้องคิดถึง เพราะไม่มีใครรู้ว่าตัวเองจะต้องตกอยู่ในสภาพเป็นคนว่างงานเมื่อไหร่และนานเท่าไหร่ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ชีวิตจะดำเนินต่อไปอย่างไรถ้าเงินเก็บในธนาคารหมดลง?

บัตรเครดิต ดูเหมือนจะเป็นที่พึ่งในยามยากได้ดีในสถานการณ์เช่นนี้ แต่การณ์หาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะบรรดาธนาคารเจ้าของบัตร ซึ่งกำลังตกอยู่ในฝันร้ายถูกมรสุมหนี้เสียกระหน่ำจนตั้งตัวแทบไม่อยู่ ต่างพยายามที่จะจำกัดสินเชื่อเพื่อการบริโภคประเภทนี้ตามคำสั่งของแบงก์ชาติ ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันปัญหาหนี้เสียที่อาจจะเกิดขึ้น โดยมาตรการที่บรรดาแบงก์ผู้ออกบัตรนำมาใช้กับผู้ถือบัตรก็มีหลายระดับขั้น นับตั้งแต่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ปรับอัตราการชำระเงินขั้นต่ำจาก 5% เป็น 10% ตัดวงเงินสินเชื่อน้อยลง และระงับบัตร ทั้งนี้ก็ด้วยเหตุผลสวยหรูว่าไม่ต้องการให้ผู้ถือบัตรใช้เงินฟุ่มเฟือยเกินตัว แต่ก็ลืมนึกไปว่าก่อนหน้านั้นแทบจะกราบกรานไหว้วานให้ทำบัตรกันเลยทีเดียว

เป็นอันว่าในตอนนี้ธุรกิจบัตรเครดิตต้องหดตัวตามสภาพเศรษฐกิจ และมาตรการของแบงก์ชาติ แม้แต่วีซ่า เจ้าของแบรนด์บัตรพลาสติกระดับโลกยังต้องปรับกลยุทธ์ตาม หลังจากที่ตัวเลขการเติบโตของบัตรเครดิตเริ่มปรากฏให้เห็นว่าหดตัวลงอย่างชัดเจน แม้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ วีซ่าเพิ่งจะประกาศความสำเร็จจากการได้ยอดบัตรเครดิตครบ 1 ล้านใบไปแล้ว

"1 ล้านใบเป็นจำนวนบัตรวีซ่าที่มีการใช้ไหลเวียนอยู่ในตลาดขณะนี้ ไม่รวมถึงบัตรที่มีการยกเลิกไปแล้ว อย่างไรก็ตามในแต่ละปีหรือแต่ละช่วงเวลา จำนวนของบัตรจะเพิ่มขึ้นประมาณ 10% และลดลงประมาณ 3% คือจะเป็นบัตรที่ยกเลิกทั้งแบบสมัครใจและไม่สมัครใจ ดังนั้นตัวเลขของเราจะเป็นสุทธิ

เมื่อปีที่แล้วจำนวนบัตรเพิ่มขึ้นเกือบถึง 10% และจำนวน 1 ล้านใบนี้ก็ครบเมื่อปลายปีที่แล้ว บัตรใบแรกของวีซ่าออกเมื่อปี 1979 อันที่จริงแล้วเราคาดหมายว่าเราจะมีบัตรครบ 1 ล้าน เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว แต่ว่าเมื่อเดือนกรกฎาคมมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น จึงทำให้เราต้องรอมาอีก 4 เดือน ในอนาคตเราคาดว่าเราจะไปได้เร็วกว่านี้เพราะนอกจากบัตรเครดิต เรายังมีบัตรเดบิตอีกตัวหนึ่ง อัตราการเติบโตของบัตรเครดิตในปีนี้ จะอยู่ในลักษณะเกือบ flat หรืออาจจะลดลงด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า คนที่จะมีบัตรเครดิตได้จำเป็นต้องมีรายได้ 20,000 บาทต่อเดือน นี่เป็นกฎของแบงก์ชาติ

ในเวลานี้ บัตรเครดิต อาจจะเป็นประโยชน์สำหรับคนถูกเลิกจ้างงาน แต่ในทัศนะของผม ถ้าหากคุณไม่มีสภาพคล่อง ไม่มีงานทำ ผมในฐานะที่เป็นแบงก์ที่ออกบัตรให้คุณ ก็มีปัญหาสภาพคล่องเช่นกัน เพราะถ้าหากคนๆ นี้ไม่มีสภาพคล่อง ไม่มีงาน ความสามารถในการจ่ายคืนหนี้ก็น้อยลงไปกว่าคนที่เขามีงานทำ ดังนั้นผมก็ไม่สนใจที่จะให้บัตรคุณ การที่คุณถูกเลิกจ้างแม้จะสามารถจ่ายดอกเบี้ยได้ แต่แบงก์ชาติเป็นผู้กำหนดแบงก์พาณิชย์อีกที ไม่ว่าผมจะเชื่อมั่นในตัวคุณมากน้อยแค่ไหนก็ตาม สิ่งเดียวที่ผมทำได้ก็คือผมเสียใจ เพราะแบงก์ชาติให้ผมแสดงเอกสารว่าคุณมีรายได้ 20,000 บาทต่อเดือน ต่อให้คุณมีเงินในบัญชีมากและสามารถจ่ายดอกเบี้ยได้ก็ตาม

ดังนั้นในฐานะแบงก์ก็ประสบปัญหา 2 ประการคือ แบงก์ชาติกำหนด 20,000 บาทไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งต้องส่งเอกสารไปให้แบงก์ชาติดู ประการที่ 2 ก็คือแบงก์เองก็มีปัญหาสภาพคล่องเช่นกัน เพราะว่าแบงก์ปล่อยกู้แก่ภาคธุรกิจ ซึ่งมันใหญ่กว่าคุณ ดังนั้นแบงก์จึงตกอยู่ในสภาพที่เรียกว่าหนีเสือปะจระเข้ (dilemma) ที่ยากมาก ดังนั้นแบงก์จึงจำเป็นจะต้องดูที่รายได้และความสามารถในการจ่ายคืนของคุณด้วย และเหนือกว่านั้นแบงก์ชาติก็จ้องดูอยู่" ริชาร์ด ชาง ผู้จัดการอาวุโสประจำประเทศไทย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และอินโดจีน ของบริษัท วีซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวถึงแนวโน้มและข้อจำกัดของธุรกิจบัตรเครดิตในช่วงเงินฝืด กับ "ผู้จัดการรายเดือน"

ในฐานะที่วีซ่าเป็นตัวกลางที่ต้องให้บริการทั้งแบงก์สมาชิกและผู้ถือบัตร หนทางหนึ่งที่วีซ่าคิดว่าน่าจะเหมาะสมกับยุคสมัยของไทยเวลานี้มากที่สุดก็คือ ผลิตภัณฑ์บัตรพลาสติกประเภทเดบิต หรือหักจากบัญชี ซึ่งที่ผ่านมา วีซ่า ได้นำบัตรเดบิต Interlink เข้ามาแล้ว แต่ยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก มีเพียงธนาคารทหารไทย และกสิกรไทย เท่านั้นที่ออกบัตรชนิดนี้ ทั้งนี้เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างมากในเรื่องของ Pin Pad ที่จะต้องมีการเปลี่ยนทุกปีและต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศอย่างเดียว

บัตรเดบิต Visa Electron เป็นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ล่าสุดที่วีซ่านำเข้ามาในเมืองไทย และเห็นว่าผลิตภัณฑ์ตัวนี้น่าจะมีความเหมาะสมกับแบงก์สมาชิก ร้านค้าและผู้ถือบัตรในยุคไอเอ็มเอฟมากที่สุด เพราะบัตรใบนี้จะใช้วิธีการหักเงินจากบัญชีเงินฝาก ด้วยระบบการเชื่อมโยงทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านเครื่องรับ EDC (Electronic Data Capture) ซึ่งจะมีอยู่ตามร้านค้าที่เป็นจุดขายต่างๆ โดยระบบดังกล่าวนี้จะเป็นระบบเดียวกับบัตรเครดิตของวีซ่าที่มีใช้กันอยู่ ดังนั้นจึงไม่มีค่าใช้จ่ายในการลงทุนมากนัก นอกจากแบงก์สมาชิกเท่านั้นที่จะต้องมีการปรับระบบให้สามารถรับรายการอิเล็กทรอนิกส์ให้ได้ด้วย เพราะปัจจุบันระบบของแบงก์จะรับเฉพาะรายการเอทีเอ็มเท่านั้น

"ผมเชื่อว่าทุกคนต้องมีเงินก้อนหนึ่งอยู่ในมือเพื่อดำรงชีพ แม้จะมีเพียง 500 บาทก็ตาม ในสายตาของวีซ่า กรณีประเทศไทยเรามีทัศนะ 2 ประการคือ

1.คนไม่ต้องการใช้เงิน แต่ต้องการเก็บเงินสดไว้ในแบงก์ให้ได้มากที่สุดและนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ สิ่งที่เราต้องการจะทำคือช่วยให้คน โดยเฉพาะคนต่างจังหวัด ให้ออกมาเปิดบัญชีมากขึ้นและใช้บัตรเดบิต

2.ในส่วนของแบงก์เองก็ได้ประชากรที่เข้ามาเปิดบัญชีเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ประชากรที่เปิดบัญชีน้อยมากราว 8-10% เท่านั้นเอง สิ่งที่เราทำก็คือ เราจะบอกคุณว่ามาเปิดบัญชีในแบงก์ดีกว่า เก็บเงินของคุณไว้ในแบงก์รับดอกเบี้ย และใช้จ่ายด้วยบัตรเมื่อต้องการที่จะซื้อของ

การที่วีซ่าผลักดันและส่งเสริมผลิตภัณฑ์ตัวนี้ จะช่วยทั้งผู้บริโภคและระบบธนาคารไทยด้วย เพราะว่าความสำเร็จในอนาคตของระบบธนาคารไทย ขึ้นอยู่กับอัตราของประชากรที่เข้ามาสู่แบงก์ นอกจากนี้แบงก์ยังสามารถประหยัดเงินในการซื้อและบำรุงรักษาเครื่องเอทีเอ็ม ไม่ต้องมีการกันเงินสดไว้มาก ส่วนผู้บริโภคยังมีต้นทุนในการถอนเงิน ไม่ว่าจะด้วยเอทีเอ็ม หรือที่เคาน์เตอร์แบงก์ลดลงด้วย

เมื่อไม่นานมานี้ผมได้ไปที่แบงก์แห่งหนึ่งผมเห็นแถวรอกดเอทีเอ็มยาวมาก ซึ่งผมเห็นว่ามันเป็นต้นทุนที่แพงมาก ในอนาคตในขณะที่แบงก์ต่างประเทศกำลังจะเข้ามาในไทย ผมมองว่าแบงก์ที่จะอยู่รอดได้จะต้องสามารถส่งมอบบริการและสินค้า เช่นการฝากเงิน ถอนเงิน ที่มีต้นทุนถูกที่สุด ทำอย่างไรจึงจะให้ลูกค้าไม่เข้ามาที่สาขา หรือเอทีเอ็มให้ได้" ชาง อธิบายแนวความคิดของวีซ่าที่ต้องผลักดันบัตรเดบิต วีซ่า อิเลคตรอน เข้าสู่ตลาดไทยในตอนนี้

เขามีข้อสังเกตที่น่าฟังว่าในสถานการณ์เช่นนี้ หากจะมองอีกภาพหนึ่งมันเป็นสัญญาณ ที่เตือนให้คนไทยได้ตระหนักถึงเรื่องการใช้จ่ายเงินให้มีความรอบคอบ ประหยัด และใช้ประโยชน์จากสื่อกลางทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต, เดบิต, เช็ค หรือเงินสดให้ได้มากที่สุด "ตัวไหนอันไหนมีประโยชน์ต้องใช้ประโยชน์จากตรงนั้น อย่างการใช้บัตรเครดิตก็ต้องสำนึกอยู่ตลอดเวลาและจริงจังเรื่อง matching แต่อย่าซิกแซ็ก เพราะจะตกหลุมแบงก์ ในอดีตเราอิสระกันหมด เราไม่ได้ดูในเรื่องคุณประโยชน์ของสื่อกลางการเงินเท่าไหร่ ตอนนี้ทุกคนจะต้องกลับมาดู"

สำหรับบัตรเดบิตนี้ วีซ่าคาดหมายว่าภายในสิ้นปีจะสามารถออกบัตรได้ถึง 1 ล้านใบ โดยในส่วนของวีซ่าอิเลคตรอนนั้นมีแบงก์สมาชิกลงนามเป็นธนาคารผู้ออกบัตร (issuing bank) แล้ว 4 แห่งคือ ธนาคารกสิกรไทย ทหารไทย กรุงศรีอยุธยา และเอเชีย โดยมีธนาคารสมาชิก 9 แห่งเป็นธนาคารผู้รับบัตร (acquiring bank) ซึ่งดั๊ก ลอว์สัน ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์หักบัญชี (Deposit Access) ประจำเอเชีย แปซิฟิก ให้ความเห็นว่านับเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกที่มีแบงก์สมาชิกถึง 4 แห่งลงนามกับวีซ่าเพื่อออกบัตรตัวนี้พร้อมกัน นั่นก็หมายความว่าแบงก์ไทยมองเห็นถึงศักยภาพของบัตรชนิดนี้

"การมีเงินสดฝากไว้ในแบงก์เป็นเรื่องที่ดี แต่การจ่ายเงินด้วยบัตรพลาสติกเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ผมเห็นด้วยว่าเงินสดเป็นพระเจ้า แต่การที่จะเอาเงินสดใส่กระเป๋าไปด้วยเป็นเรื่องที่ไม่น่ารื่นรมย์นัก เพราะการที่คุณมีเงินสดแล้วพกพาไปด้วยทุกหนทุกแห่งทุกวันเป็นเรื่องที่เสียผลประโยชน์ สิ่งที่ดีที่สุดก็คือเอาเงินสดใส่ไว้ในแบงก์เอาดอกเบี้ย แล้วใช้บัตรพลาสติกในการจับจ่าย นี่เป็นวิธีการที่เรียกว่า maximize your earning of cash แม้ผมจะเห็นด้วยว่า 50% cash is king ก็ตาม... หากผมสามารถออกบัตรเดบิต 16 ล้านใบได้ ผมจะมีความสุขมากกว่าที่เราออกบัตรเครดิตได้ 3 ล้านใบ เพราะว่าบัตรเดบิต 16 ล้านใบสามารถแทนเงินสดได้มากกว่าบัตรเครดิต 3 ล้านใบ อย่างไรก็ตาม 1 ล้านใบ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับประชากรไทยแล้ว เล็กน้อยมาก ถ้าหากครึ่งหนึ่งของประชากรไทยมีเดบิตการ์ด และใช้มัน ณ จุดซื้อขาย และเอทีเอ็ม นั่นคือกลยุทธ์ของบริษัทเราที่ต้องทำ" นี่คือ บทสรุปของชางที่ให้ไว้กับ "ผู้จัดการรายเดือน" ถึงก้าวต่อไปของวีซ่าในไทย

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us