ปราชญ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองหลายท่านบอกว่า ช่วงนี้ถือเป็นจังหวะเหมาะที่ภาคอุตสาหกรรมการผลิต
สถาบันการเงินรัฐวิสาหกิจ ภาครัฐ รวมไปถึงหน่วยงานราชการต่างๆ จะหันมาพิจารณาตัวเองและสังคายนาถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในอดีต
และทำการปรับปรุงโครงสร้างและรากฐานต่างๆ ให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ท่ามกลางสภาวะการแข่งขันทางเศรษฐกิจ
ที่ดุเดือดเข้มข้นมากยิ่งขึ้นในศตวรรษที่ 21 ที่กำลังจะมาถึงนี้
เช่นเดียวกับ บริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการและระบบเทคโนโลยีชั้นนำ
และเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา บูซแอลเลนแอนด์แฮมิลตัน (Booz-Allen&Hamilton)
จากประสบการณ์การเป็นที่ปรึกษาให้แก่รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ในการปรับโครงสร้างการทำงาน
และในฐานะที่ปรึกษาของ IMF เกี่ยวกับโครงการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทย
อินโดนีเชีย และเกาหลีใต้ ได้เสนอแนะว่า ถึงเวลาที่ประเทศไทยจะร้องมีการปฏิรูปตัวเอง
เพื่อเสริมสร้างรากฐานให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา และสามารถยืนอยู่ได้ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์
ที่นับวันจะรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ โดยเฉพาะภาครัฐบาล ซึ่งที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีความล้าหลัง
และก้าวไปไม่ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในระบบโลก เพราะที่ผ่านมาการทำงานของรัฐบาลและระบบราชการหย่อนทั้งประสิทธิผลและประสิทธิภาพ
อย่างที่ทราบกันว่า "เช้าชามเย็นชาม" ซึ่งก็เป็นสาเหตุหนึ่งของวิกฤติเศรษฐกิจไทยในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม แรงกดดันทางเศรษฐกิจทั้งภายในและนอกประเทศ จะเป็นแรงผลักดันให้ภาครัฐบาลต้องปฏิรูปตัวเอง
ซึ่ง โรนัลด์ พี. สไตร๊ด รองประธานอาวุโสและในฐานะหุ้นส่วนหนึ่งของบริษัท
ได้อธิบายผลการวิเคราะห์ของบริษัทว่า การที่รายได้จากการจัดเก็บภาษีของรัฐบาลหดตัวลง
การว่างงานที่มีอัตราเพิ่มสูงขึ้น อุปสงค์ในประเทศลดน้อยลง ผลประกอบการของรัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนตกต่ำ
ตลอดจนถึงสถาบันการเงินในประเทศอ่อนแอ จะเป็นปัจจัยภายในที่สัญที่กดดันให้ภาครัฐต้องปรับปรุง
และเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการทำงานใหม่ ขณะเดียวกันกระแสการเรียกร้องจากต่างประเทศ
ที่ต้องการให้ภาครัฐของไทยมีความโปร่งใสในการทงำาน การให้บริการแก่ประชาชนมีคุณภาพมากขึ้น
และมีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารให้มากขึ้น ตลอดจนถึงการเปิดกว้างของตลาดทุนและตลาดเงินโลก
ซึ่งจะทำให้การแข่งขันการเคลื่อนย้ายเงินทุนมีความรุนแรงมากขึ้น ก็เป็นอีกแรงกดดันหนึ่งที่อิทธิพลพอที่จะผลักดันให้ภาครัฐหันมาพิจารณาปรับปรุงตนเองให้เร็วยิ่งขึ้น
ในฐานะเจ้าหนี้รายใหญ่ของไทย ข้อเรียกร้องของไอเอ็มเอฟที่ตั้งเป็นเงื่อนไขแลกกับการให้เงินกู้
โดยให้รัฐบาลไทยทำการปฏิรูปโครงสร้างระบบการทำงานและบริหาร ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากกว่าปัจจุบันนี้
เป็นแรงกดดันที่สำคัญยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตาระบบราชการและภาครัฐของไทยในอนาคต
และบูซแอลเลนได้รับมอบหมายในฐานะที่ปรึกษาของไอเอ็มเอฟ ให้เข้ามาตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลไทยให้ตรงกับเจตนารมณ์
และเงื่อนไขของไอเอ็มเอฟ
"เป้าประสงค์ของการปรับโครงสร้างภาครัฐใหม่ ก็เพื่อปรับปรุงระบบการทำงานให้มีความรับผิดชอบต่อผู้เสียภาษี"
รูปแบบโครงสร้างที่ทางบูซแอลเลนเสนอก็คือ 'High Performance Government'
โดยเป็นการวัดจากบริการที่ประชาชนได้รับ หรือ ผลลัพธ์ที่ออกมา (output) จากเดิมที่เน้นนโยบาย
หรือ input โดยส่วนสำคัญที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงก็คือระบบราชการ ซึ่งตามความเห็นของบูซ
แอลเลน ได้วางรูปแบบของหน่วยงานราชการต่างๆ ให้อยู่ในลักษณะของ 'องค์กรมหาชนอิสระ'
(Executive Agency) ซึ่งจะประกอบด้วย Chief Executive Officer เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด
ทั้งนี้ก็เพื่อจะกระจายอำนาจที่แต่ก่อนกระจุกตัวอยู่ในส่วนกลางและรัฐบาลกลาง
ลงไปให้หน่วยงานต่างๆ มีอำนาจในการตัดสินใจและบริหารองค์กรของตนเองอย่างเต็มที่
ขณะที่รัฐบาลกลางจะต้องคอยสนับสนุน ให้การดำเนินงานขององค์กรมหาชนอิสระดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น
"สิ่งสำคัญที่รัฐบาลจะต้องปฏิรูปเป็นอันดับแรกก็คือการปรับปรุงการทำงานของข้าราชการ
(the performance of civil servant) ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเขาจะต้องเพิ่ม
preductivity เพิ่ม incentive และงบประมาณในการปรับปรุงการเพิ่มผลผลิตของข้าราชการ
เพื่อที่จะช่วยให้เขาทำงานได้ดีขึ้น และนั่นก็ต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงพอสมควร
เพื่อที่จะให้คนประพฤติในลักษณะที่แตกต่างออกไปจากที่เคยทำในอดีต ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลามากกว่า
1 ปี ในการปรับปรุงประสิทธิผล ประสิทธิภาพ และการให้บริการ" สไตร๊ด
กล่าวถึงแนวคิดของบูซแอลแลนที่เสนอให้แก่รัฐบาลไทย ปรับโครงสร้าง ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการหารือในรายละเอียด
ปัจจุบันมี 5 หน่วยงานที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงโครงสร้าง และ 3 ใน 5 นั้น
บริษัท บูซแอลเลนรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้ได้แก่ กรมสรรพากร, กรมที่ดิน,
และสำนักงานข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ซึ่งส่วนของกรมสรรพากรได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว
"เรากำลังทำงานร่วมกับรัฐบาลไทยในหลายหน่วยงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผล
และงานนี้เป็นงานที่มอบหมายจากธนาคารโลก อันเป็นเงื่อนไขของไอเอ็มเอฟที่มีต่อรัฐบาลไทยในการปรับปรุงภาครัฐบาลโดยรวม"
สไตร๊ดกล่าวถึงเหตุที่ต้องเข้ามาจับงานแปรรูปภาครัฐไทย
การคอร์รัปชั่น หรือการฉ้อราษฎร์บังหลวง เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ระบบราชการไทยไร้ประสิทธิภาพ
ไม่มีประสิทธิผลและอ่อนแอ จนทำให้วิกฤตเศรษฐกิจที่ไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้รุนแรงมากกว่าที่ควรจะเป็น
และยังเป็นปัญหาที่นับวันจะทวีความรุนแรงและมีวิธีการซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งในแต่ละปีคนไทยต้องแบกรับภาระจ่ายต้นทุนที่เกิดจากปัญหานี้เป็นเงินจำนวนมหาศาล
"ปัญหาคอร์รัปชั่นเป็นตัวแปรที่ทำให้เรามองปัญหาไปในลักษณะของการเปลี่ยนแปลงพื้นฐาน
หรือรากฐานจริงๆ คือเรามองว่ามันเป็นผล มันต้องมีเหตุ ทีนี้เหตุส่วนหนึ่งที่เราดูแล้วจะมาจากระบบการให้ผลตอบแทนที่ไม่ดี
ซึ่งทำให้เราไม่สามารถนำคนเก่งคนดีเข้ามาในระบบได้ ในจุดนี้เราจึงได้มีการเสนอ
executive agency ขึ้นมาคือเริ่มให้หน่วยงานสามารถดำเนินการเอง มี incentive
เอง มี performance base incentive มีเรื่องการให้ compensation โดยวัดจาก
performance และอื่นๆ ที่จะทำให้เขารู้สึกว่าเขาทำงานเหมือนเอกชน ทำงานต้องถูกวัดผลงานเหมือนเอกชน
ไม่ใช่เช้าชามเย็นชาม ตรงนี้จะทำถ้ามันมีหน่วยงานนี้ขึ้นมาจะทำให้รัฐไม่มีความแตกต่างจากเอกชนในแง่ของการทำงาน
มันอยู่ใน competitive edge หมดเลย เพราะฉะนั้นมันก็จะอยู่ในกลไกตลาดที่ว่าคุณทำงานไม่ดี
มีปัญหาไม่ได้ตามเป้าก็ต้องออก ถึงจะอยู่ในระดับสูงก็ตาม ส่วนคนเราก็ต้องเทรน
นั่นเป็นบทบาทของ ก.พ.ในการสร้าง HRD (Human Resource Development) ต้องเทรนอีกเยอะ
เราเชื่อว่าคนที่ทำงานอยู่ในภาครัฐมีความสามารถเยอะ แต่ไม่มีระบบ incentive
ที่ทำให้เขาดึงเอาศักยภาพของเขามาใช้งานมากขึ้น และเขาก็ไม่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขัน"
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ในฐานะ Associate ของบูชแอลเลน ที่ได้รับมอบหมายให้เข้าไปดูแลโครงการของสำนักงาน
ก.พ. หลังจากที่โครงการของกรมสรรพากรและกรมที่ดินสำเร็จลุล่วงไปแล้ว กล่าวถึงวิธีที่จะจัดการกับปัญหาคอร์รัปชั่นที่กำลังแพร่ระบาดอย่างหนัก
ภาวะผู้นำ (Leadership) เป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุดต่อความสำเร็จและความล้มเหลวของประเทศ
ซึ่งจากการทำงานและคลุกคลีกับภาครัฐมาโดยตลอดตั้งแต่ทศวรรษ 1970 ของบูซแอลเลน
พบว่าประเทศไทยมีปัญหาในเรื่องของภาวะผู้นำ เพราะที่ผ่านมาผู้นำของไทยไม่มีเคยมีการกำหนดปัญหาขึ้นก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้นจริง
และก็มีผู้นำไม่มากนักที่รู้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากอะไร นั่นก็หมายความว่าประเทศไทยกำลังขาดผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน
ในสถานการณ์วิกฤติเช่นนี้ ตามการวิเคราะห์ของบูช แอลเลน ประเทศไทยจำเป็นต้องมีผู้นำที่สามารถสร้างสรรค์วิสัยทัศน์
และคุณค่าให้เกิดแก่สังคมโดยรวม ขณะเดียวกันยังต้องสร้างเงื่อนไขที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
และสามารถให้รางวัลจูงใจแก่ผู้อื่นได้ตามความเหมาะสม นอกจากนี้ ผู้นำยังต้องเป็นผู้ที่สร้างวัฎจักร
(cycle) ที่ดีให้เกิดขึ้นในระบบ ซึ่งวัฎจักรดังกล่าวจะต้องสามารถกระตุ้นให้คนมีการเปลี่ยนแปลง
มีการพัฒนาขีดความสามารถและปฏิบัติงานให้เกิดผลเป็นรูปธรรมให้ได้ ซึ่งคงเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนักที่จะสรรหาบุคคลในระบบการเมืองปัจจุบันที่มีคุณสมบัติดังกล่าว
เข้ามานั่งบริหารประเทศเพื่อฟันฝ่ามรสุมเศรษฐกิจที่กำลังโหมกระหน่ำประเทศไทยได้
นอกจากนี้ ความเสื่อมโทรมของระบบราชการส่วนหนึ่งเกิดจากการแทรกแซงของฝ่ายการเมือง
โดยเฉพาะการแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานราชการต่างๆ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาเห็นได้ชัดเจนว่าการเข้าแทรกแซงของฝ่ายการเมือง
ได้สร้างความเสียหายต่อประเทศชาติจนไม่สามารถประเมินมูลค่าได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการแต่งตั้งบุคคลไม่ตรงกับความสามารถ
ดังนั้นแทนที่ปัญหาจะได้รับการแก้ไขกลับกลายเป็นการสะสมปัญหาจนลุกลามเป็นวิกฤตในที่สุด
"ระบบ SES (Senior Executive System) เราตั้งขึ้นมาเพื่อป้องกันปัญหาการเมืองแทรกแซง
ซึ่งเราตั้งขึ้นมาให้กับสำนักงาน ก.พ. โดยเราจะใช้ระบบคณะกรรมการในการเลือกสรรผู้ที่จะเข้ามาเป็นผู้บริหารของภาครัฐ
แทนที่จะแต่งตั้งโดยตรงจากฝ่ายการเมือง จริงๆ แล้วทาง ก.พ.มีแนวคิดนี้มานานแล้ว
เพราะว่าเราได้ศึกษาจากที่อื่นๆ ที่เขามีการทำแบบนี้แล้ว แต่ว่าจะได้ผลหรือไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับบรรดานักการเมืองทั้งหลายๆ
ดร.สุวิทย์ อธิบายถึงคอนเซ็ปต์ที่จะนำมาแก้ไขปัญหาการใช้อำนวจแทรกแซงของนักการเมือง
การปฎิรูปจะสัมฤทธิผลหรือไม่ปัญหาใหญ่อยู่ที่การนำคอนเซ็ปต์มาปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
(Implementation) เพราะผู้ที่จะต้องลงมือทำก็คือนักการเมือง และบรรดาผู้บริหารระดับสูงของรัฐ
ซึ่งแน่นอนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นย่อมหมายถึง การลดทอนอำนาจและผลประโยชน์ของพวกเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เสมือนหนึ่งหยิกเล็บเจ็บเนื้อ
"ในคอนเซ็ปต์ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องที่ใหม่มาก และทำไม่ยาก แต่ปัญหาคือ
Buy-IN จะให้นักการเมืองซื้อได้อย่างไร การยอมรับของนักการเมืองในระบบเป็นเรื่องใหญ่
ถ้านักการเมืองซื้อ แล้วผู้บริหารระดับสูงของภาครัฐซื้อหรือไม่ เท่านั้นเองปัญหามันกลายเป็นเรื่อง
implementation ปัญหาบางส่วนเราเสนอไปไม่ยาก แต่การนำไปปฏิบัติมันยากกว่า
มันต้องใช้เวลา" ดร.สุวิทย์สรุปถึงอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ของการปฏิรูป
ประเทศไทยจะไปหรืออยู่….. คราวนี้ต้องรอวัดใจบรรดาผู้ทรงเกียรติแห่งรัฐสภาไทย
ว่าจะทำใจยอมรับบทบาทของฝ่ายบริหารใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน….
ยิ่งในยุคหน้าสิ่งหน้าขวานเงินหายากอย่างนี้ไซร้