Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ สิงหาคม 2541








 
นิตยสารผู้จัดการ สิงหาคม 2541
ข้อสังเกตมาตรการ "เบ็ดไม่เสร็จ"             
 





แนวทางของแผนฟื้นฟูระบบสาบันการเงินของรัฐบาลที่ประกาศออกมาเมื่อ 14 ส.ค. 2541 ซึ่งธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รมว.คลังย้ำแล้วย้ำเล่าว่าไม่ใช่ "มาตรการเบ็ดเสร็จ" และชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีก็ขอให้สื่อมวลชนอย่าใช้คำนี้ แม้ว่าสื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ และคอลัมน์นิสต์หลายคนจะยังคงใช้คำนี้ก็ตามนั้น ถือเป็นมาตรการที่ได้รับคำชื่นชมจากหลายๆ วงการ แม้กระทั่งผู้นำฝ่ายค้านอย่าง พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ห้วหน้าพรรคความหวังใหม่ก็ยังประกาศเห็นด้วย! (แต่ไม่ทราบว่ายกมือให้ผ่านสภาฯ หรือไม่)

แผนฟื้นฟูฯ ฉบับนี้ถือเป็นมาตรการ "ที่มีความสำคัญมาก" ตามที่รมว.พูดกับผู้สื่อข่าว เพราะแผนดังกล่าวได้ปรับเปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมธนาคารพาณิชย์ไทยในอนาคต ผู้ที่เคยใหญ่ในอดีต กลับมีทุนที่ลดน้อยถอยลงในพริบตา ขณะที่ผู้ที่จะใหญ่ต่อไปในอนาคตนั้น ยังไม่แน่ว่าเป็นลักษณะ "ข้างนอกสุกใส ข้างในต๊ะติ๊งโหน่ง" หรือไม่

ผู้เขียนมีข้อสังเกตเล็กๆ น้อยๆ ต่อมาตรการดังนี้

- ไม่มีการอัดฉีดเงินสดสู่ระบบสถาบันการเงินจากแผนฉบับนี้ แต่ใช้พันธบัตร 300,000 ล้านบาท ที่จะให้สำหรับผู้เข้าร่วมโครงการช่วยเหลือด้านเงินกองทุน (tier I ประมาณ 200,000 ล้านบาทและ tier II ประมาณ 100,000 ล้านบาท) ขณะที่กองทุนฟื้นฟูฯ ได้ปล่อยสินเชื่อแก่สถาบันการเงิน 7 แห่งที่ถูกรัฐบาลประกาศแทรกแซงในครั้งนี้จำนวน 44,000 ล้านบาท

พันธบัตรจำนวนนี้เป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าที่มีการคาดหมายกันไว้มาก คือสื่อบางฉบับคาดหมายตัวเลขในระดับ 800,000 ล้านบาท (ซึ่งคิดเป็น 19,500 ล้านดอลลาร์ หรือมากกว่าเงินกู้ไอเอ็มเอฟ) แต่ รมว.ธารินทร์กล่าวว่า "มีสถาบันการจัดอันดับแห่งหนึ่ง วิเคราะห์ง่ายๆว่าประเทศไทยต้องการเงินทุนประมาณ 7-8 แสนล้านบาท ซึ่งสำรองหนี้สูญที่เรามีอยู่ขณะนี้ประมาณ 389,700 ล้านบาทเมื่อสิ้น มิ.ย. 2541 เฉพาะธนาคารพาณิชย์ไทย ไม่รวมธนาคารต่างประเทศ เมื่อลบตัวนี้ออกไปก็เหลือประมาณ 400,000 ล้านบาท ตัวเลขที่เราวางไว้ก็คือ 300,000 ล้านบาท เราก็เชื่อว่าจะพอ แต่ต้องคำนวณกลับว่าถ้าต้องการให้แบงก์โตกว่านี้ คือปัจจุบันก็สามารถให้สินเชื่อได้แล้ว แต่ถ้าต้องการให้แบงก์โตและหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจไทยได้ยาวไปถึงปี ค.ศ. 2000 เราก็คำนวณว่า 300,000 ล้านบาทบวกเงินเอกชนน่าจะพอ"

ซึ่งเท่ากับว่ารัฐบาลคาดหมายว่าจะต้องมีเงินต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มสถาบันการเงิน เพื่อที่จะให้สถาบันเหล่านี้อยู่รอดและเติบโตได้ นอกจากนี้การใช้พันธบัตรดังกล่าวก็กำหนดไว้สำหรับโครงการช่วยเหลือเรื่องเงินกองทุน ซึ่งเป็นโครงการตามความสมัครใจ และเปิดไว้ถึงปี พ.ศ. 2543

- โครงการช่วยเหลือเรื่องเงินกองทุน ไม่ได้เป็นการบีบบังคับให้สถาบันการเงินที่รัฐไม่ได้ประกาศแทรกแซง ต้องเข้าโครงการทุกรายแม้ว่า รมว.ธารินทร์เห็นว่าหากมองระยะยาวในเรื่องการเติบโตและการแข่งขันของธนาคารในอนาคตนั้น ทุกรายควรเข้าโครงการนี้ขณะที่ผู้ว่า ธปท. ม.ร.ว.จัตุมงคล เห็นว่ายังไม่จำเป็น เพราะธนาคารที่รัฐไม่ได้แทรกแซงนั้น ไม่มีปัญหาหนัก และยังสามารถอยู่รอดได้จนถึงสิ้น มิ.ย. 2542 โดยไม่ต้องทำการเพิ่มทุนก็ตาม โครงการนี้เป็นเรื่องของการสมัครใจ ซึ่งก็สะท้อนแนวคิด 2 ด้านคือ

หากสถาบันการเงินใดมั่นใจว่ามีเงินทุนและมีการกันสำรองเพียงพอ และมองเศรษฐกิจในแง่ดี ตัวเลข NPL จะไม่ทรุดหนักไปกว่านี้ ก็อาจจะไม่ต้องเข้าโครงการก็เป็นได้ เพราะหากมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลนำออกมาใชได้ผลตามที่ต้องการ เศรษฐกิจกระเตื้องขึ้น NPL หยุดโต ธนาคารก็อยู่รอดได้

แต่สถาบันใดที่ไม่มีความมั่นใจในเรื่องนี้ ก็ควรจะเข้ารับโครงการเสียแต่ต้น

ผลสรุปที่ออกมาเป็นโครงการนี้ได้ เข้าใจว่าอยู่ที่ผลการตรวจสอบของฝ่ายตรวจสอบของแบงก์ชาติ ซึ่งได้เข้าไปตรวจสอบตัวเลขต่างๆ ของสถาบันการเงินทุกแห่งอย่างละเอียดเป็นตัวเลขล่าสุดคือของงวดครึ่งปีแรก 2541 และผลการตรวจสอบนั้น ผู้ว่าแบงก์ชาติกล่าวว่า "ที่ผ่านมา มีความแตกต่างระหว่างธนาคารอยู่สูงมาก ระหว่างธนาคารที่มีหนี้เสียสูงกับธนาคารที่มีหนี้เสียต่ำและมีความแข็งแกร่งมาแต่เดิม ก็ได้สำรองมาแต่เดิมเป็นจำนวนมาก ฉะนั้นระบบสถาบันการเงินไม่ได้หนักเหมือนกับเวลาดูตัวเลขยอดรวม เพราะมีสถาบันหลายแห่งที่ไม่มีปัญหาเลย"

แนวทางประนีประนอมที่ออกมาระหว่าง 2 สถาบันคือคลังและแบงก์ชาติ จึงไม่ได้มีการบีบบังคับให้ทุกแบงก์ต้องเข้าโครงการฯ ซึ่งก็ต้องรอดูผลต่อไปว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ประเมินสถานการณ์ชัดเจนกว่ากัน

- มีผู้วิจารณ์กันมากว่ามีความเหลื่อมล้ำหรือเลือกปฏิบัติของรัฐบาลในการให้ความช่วยเหลือแก่ ธ.ศรีนคร และ ธ.นครหลวงไทย ในการเพิ่มทุนของสองแบงก์นี้ ขณะที่ยุบ ธ.มหานคร และ ธ.กรุงเทพฯ พาณิชย์การ (บีบีซี) ให้ไปรวมกับ ธ.กรุงไทย โดยบีบีซีนั้นให้คงหนี้เสียไว้ให้ผู้บริหารปัจจุบันดำเนินการแก้ไข และพนักงานของธนาคารนี้ก็ไม่พอใจมาตรการของรัฐที่แก้ปัญหาเช่นนี้ และรู้สึกว่ามีความเหลื่อมล้ำในมาตรการ

รมว.ธารินทร์ให้เหตุผลในเรื่องนี้ว่า "หลักเกณฑ์ในการเข้าไปดำเนินการแต่ละแบงก์ก็คือสถานะทางการเงินของแบงก์ทั้งหมด ความจริงบีบีซีก็เป็นแบงก์ที่น่าเห็นใจ มีภาระหนี้สินเยอะ มีเงินฝาก 100,000 ล้านบาท มีหนี้ประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาท ด้านสินเชื่อมีลูกค้าที่ดีประมาณหมื่นกว่าล้านบาทเท่านั้นเอง ที่เหลือก็เป็นเรื่องที่กองทุนฟื้นฟูฯช่วยซื้อออกมาฉะนั้น จริงๆ แล้วบีบีซีฟื้นยากที่สุด เมื่อฟื้นยาก โอกาสในการปรับปรุงทางการเงินคงมีจำกัด เราก็พยายามหาทางที่ดีที่สุดที่จะสร้างบีบีซีให้เป็นประโยชน์ ก็คือเปลี่ยนให้เป็น AMC ก็เท่านั้นเองไม่มีเหตุผลอื่น"

นี่เป็นถ้อยแถลงของรมว.ธารินทร์ที่คนบีบีซียากจะเข้าใจ แม้จะเป็นความจริงก็ตาม!!

- อย่างไรก็ดี น่าสังเกตว่า ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุดอีกรายหนึ่งจากการแทรกแซงสถาบันการเงิน 7 แห่งโดยรัฐบาลในวันศุกร์ที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมาคือ บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหรือ ไอเอฟซีที เพราะมีไฟแนนซ์ในเครือถูกปิด 2 รายโดยให้โอนเข้าไปอยู่กับ บงล.กรุงไทยธนกิจ คือ บงล.ไอเอฟซีทีไฟแนนซ์ และ บง.เอฟซีไอ หรือ "อดีตฟ้าใส" ที่โด่งดังของชาวหุ้นเมื่อหลายปีก่อน

นอกจากนี้ก็คือ แบงก์บีบีซีเองซึ่งผู้บริหารไอเอฟซีทีเข้าไปช่วยดูแลบริหารงานอยู่ในตอนนี้ นำโดย อัศวิน คงศิริ, ศักดิ์ทิพย์ ไกรฤกษ์ และอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ พร้อมกับลูกทีมอีกจำนวนหนึ่งที่เข้าไปตามหนี้เสีย ตามเงื่อนไขสัญญาความร่วมมือในการเข้าบริหารและฟื้นฟูกิจการ ที่ไอเอฟซีทีทำไว้กับกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินและบีบีซีเมื่อ 7 พ.ค. 2541

ซึ่งเมื่อ 18 ก.ค. ที่ผ่านมา ทีมผู้บริหารปัจจุบันนำโดยอัศวินก็เปิดแถลงข่าวด่วนด้วยความมั่นใจ (เล็กน้อย) ว่าแบงก์ชาติจะปล่อยให้ธนาคารดำเนินงานไปตามแผนที่ทำไว้กับไอเอฟซีที แต่มาบัดนี้หากจะทำหน้าที่ต่อไป อัศวินก็คงทำแค่เรื่องบริหารหนี้ตามกรอบที่ รมว.คลังกำหนดขณะที่ความเสียหายจำนวนมากจะตกอยู่กับไอเอฟซีที เพราะสูญทั้งเงินลงทุน ความอุตสาหะของบุคลากร และที่สำคัญน่าจะเป็นการสูญเสียความมั่นใจกับหน่วยงานรัฐด้วย

กระนั้นก็ดี เราจะมองแนวทางการจัดการกับ 4 แบงก์รัฐ (มหานคร, บีบีซี, ศรีนครและนครหลวงไทย) ว่าเป็นเรื่องการเลือกปฏิบัติก็ดูเป็นสิ่งกระไรอยู่ เพราะทั้งหมดก็ตกเป็นธนาคารของรัฐไปแล้ว และรัฐบาลในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ก็สามารถจัดการตามที่เห็นสมควรกับสินทรัพย์เหล่านี้

ยังมีความจริงที่ต้องทราบและมีผู้ต้องเจ็บปวดอีกมากกับความจริงเหล่านั้น มาตรการ "เบ็ดไม่เสร็จ" นี้เป็นส่วนเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น!!

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us