มร.ฌอง โจเซฟ จาโคเบร์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท Groupe Horologer Brequet
มีการปรับปรุงกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ทำให้บริเกต์ยังสามารถรักษาอัตราการเติบโตไว้ได้อย่างน่าพอใจ
ผลิตภัณฑ์นาฬิกาบริเกต์เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้มีฐานะดี ซึ่งเมื่อก่อนมีจำนวนกว้างมาก
เพราะเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้มีอัตราการเติบโตที่สูงมาก แต่มาในช่วง 2 ปีนี้
เศรษฐกิจย่ำแย่ลงมาก และไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้นในทันตาเห็น ด้วยเหตุนี้บริษัทจำนวนมากที่ทำมาค้าขายในทั่วโลก
ต่างต้องปรับกลยุทธ์การทำธุรกิจไปตามๆ กัน
การที่จะหวังยอดขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเหมือนเช่นเมื่อก่อนนั้น เลิกฝันได้เลย
แต่ทำอย่างไรยอดขายจะยังมีอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และลูกค้ายังคงมีความภักดีต่อสินค้า
เป็นเรื่องสำคัญกว่า
นาฬิกาบริเกต์นั้นเริ่มปรับกลยุทธ์การผลิตและจำหน่ายมาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งก็เริ่มเห็นผลดีในช่วงนี้
กล่าวคือยอดขายยังคงเติบโตในระดับที่น่าพอใจ สวนกระแสเศรษฐกิจตกต่ำในเอเชีย
ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา บริเกต์มีความเข้มแข็งขึ้น ทั้งในด้านของภาพพจน์ของสินค้า
การบริการและการตลาด ในช่วงที่ผ่านมาก็มีการแนะนำสินค้ารุ่นใหม่ออกมาเพื่อที่จะเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดมากขึ้น
โดยเน้นจับกลุ่มเป้าหมายกลุ่มหนึ่งที่บริเกต์ยังไม่มีฐานลูกค้ามากนัก นอกจากนี้บริเกต์ก็ได้
พัฒนาความสัมพันธ์ที่มีกับบริษัทคู่ค้า คือ แฟรงค์จิวเวลรีฯ ให้ดียิ่งขึ้น
นาฬิการุ่นใหม่ที่แนะนำออกมานี้จะมีราคาถูกลง โดยสิ่งที่ลดลงคือเรื่องราคา
แต่ว่าคุณภาพและความน่าเชื่อถือยังเที่ยงตรงยังคงเหมือนเดิม
มร. ฌอง โจเซฟ จาโคเบร์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท Groupe Horologer Brequet
กล่าวว่า "นาฬิกาบริเกต์รุ่นใหม่ๆ ยังคงความน่าเชื่อถือเที่ยงตรง เช่นเดียวกับนาฬิการุ่น
complicate หรือรุ่นที่แพงๆ"
แม้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศจะย่ำแย่ลง แต่สถานการณ์การขายของบริเกต์ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
และจากงานบาเซิล แฟร์ที่จัดไปเมื่อเดือนเมษายน 1998 ผลการแสดงสินค้ารุ่นใหม่นับว่าได้ผลดีมาก
เพราะยอดการจองในแง่ปริมาณนั้นเพิ่มขึ้นถึง 38% และในแง่ของมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง
46%
บริเกต์พยายามขยายกลุ่มเป้าหมายลูกค้ามากขึ้น ด้วยการออกนาฬิการูปทรงใหม่ที่เป็นทรงถัง
ซึ่งส่วนพิเศษนอกจากส่วนโค้งด้านหน้าแล้ว เมื่อวางนาฬิกาลงมองจากด้านข้างจะเห็นลักษณะโค้ง
ทั้งกระจก ตัวเรือน เครื่องยนต์ และด้านในเห็นทรงโค้งหมด นี่คือลักษณะพิเศษที่นาฬิกาแบบอื่นๆ
ไม่มี
นาฬิกา สแตนเลส สตีล รุ่น fly back ผลิตออกมาเมื่อ 3 ปีก่อน เป็นนาฬิกาที่มีระดับราคาต่ำลงกว่ารุ่นปกติ
เพราะมีความสลับซับซ้อนน้อยกว่า นอกจากนี้จะมีการผลิตรุ่น functional line
ออกมาในปี 1999 เพื่อรองรับตลาดนี้ให้กว้างขึ้นและให้เข้ากับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน
(มี 3 รุ่นสำหรับผู้ชาย และ 2 รุ่นสำหรับผู้หญิง) การวางแผนโปรโมชั่นของบริเกต์ในไทยปีนี้
จึงออกมาในลักษณะของการจัดนิทรรศการ เพื่อให้ผู้สนใจทั่วไปได้รู้จักประวัติความเป็นมาของนาฬิกาบริเกต์ชัดเจนขึ้น
โดยในนิทรรศการนี้จะมีการแสดงผลงานเด่นของนาฬิกาบริเกต์ อาทิ หน้าปัดที่แกะสลักด้วยมือเป็นลวดลายต่างๆ
ที่มีความ สวยงามยิ่งที่เรียกว่า กิโยเช่ โดยมีการนำช่างแกะสลักชาวสวิสมาสาธิตวิธีการแกะสลักให้ชม
เมื่อกล่าวถึงส่วนแบ่งในตลาดเอเชียมีค่อนข้างมากคือ ประมาณ 41% ยุโรป 42%
ส่วนทางสหรัฐฯ ประมาณ 17% แต่ ในอนาคตบริษัทฯ จะเพิ่มสัดส่วนในสหรัฐนฯ ให้มากขึ้น
บริเกต์ ได้เปิดบริษัทขึ้นในสหรัฐเมื่อเดือน พ.ย. 1996 ซึ่งปรากฏว่าผลประกอบการในช่วง
7-8 เดือนมียอดขายสูงกว่ายอดขายรวมของปีที่ผ่านมา ซึ่งแสดงว่าตลาดมีการขยายตัวสูงมาก
การเติบโตที่เกิดขึ้นมีทั้งในส่วนของยอดขายและจำนวนเรือน โดยเมื่อสิ้นเดือน
มิ.ย. 1997 (รอบปีบัญชี ก.ค.-มิ.ย.)ในส่วนของจำนวนเรือน บริเกต์มียอดขายทั่วโลกเพิ่ม
11% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (ก.ค.1995-มิ.ย.1996) ขณะที่ราย ได้ทั่วโลกก่อนหักภาษีเพิ่มขึ้น
46% และมีกำไรทั่วโลกเพิ่มขึ้น 67%
ส่วนยอดขายในเอเชียนั้นมีประมาณ 10% ของรายได้รวมข้างต้น
ด้านจำนวนของร้านค้าที่ขายนาฬิกาบริเกต์ ก่อนหน้านี้มีจำนวนร้านค้า 550
ร้าน บริษัทลดจำนวนร้านค้าลง จนปัจจุบันมีอยู่เพียง 250 ร้านเท่านั้น และยังมีเป้าหมายที่จะลดลงเหลือแค่
190 ร้านค้า โดยบริษัทมองว่าสินค้าของบริษัทนั้นเป็นสินค้าที่มีเอกลักษณ์สูงและมีราคาแพง
ดังนั้นบริษัทจึงต้องเลือกร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าให้เหมาะสม และข้อสำคัญบริษัทสามารถดูแลร้านค้าเหล่านั้นได้อย่างทั่วถึงด้วย
มร.จาโคเบร์ ยกตัวอย่างประกอบว่า "ก่อนหน้านี้เรามีตัวแทนจำหน่ายในสหรัฐฯ
65 ราย แต่ตอนนี้ลดลงเหลือ 35 รายแล้ว ซึ่งบริษัทสามารถดูแลได้อย่างทั่วถึงและสามารถจัดกิจกรรมต่างๆ
ได้ครบ การมีตัวแทนจำนวนมากทำให้เกิดการแข่งขันกันเองและมีการให้ส่วนลดที่ต่างกัน
ทำให้เกิดผลเสียต่อยอดขายรวมของบริษัทในที่สุด"
อย่างไรก็ดี เมื่อลดจำนวนร้านค้าลงเหลือ 190 ร้านแล้ว บริษัทก็จะเพิ่มจำนวนร้านค้าขึ้นใหม่ให้เป็น
250 ร้าน ซึ่ง มร.จาโคเบร์มองว่าเป็นจำนวนที่เหมาะสมกับการจำหน่ายผลิตภัณฑ์บริเกต์ในทั่วโลก
โดยร้านที่จะเพิ่มขึ้นใหม่นั้นจะอยู่ในแถบยุโรป อเมริกา อเมริกาใต้ เอเชีย
(อินเดีย ไต้หวัน ฟิลิปปินส์)
ราคาผลิตภัณฑ์บริเกต์ (average price) ได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 16.5%
ตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แต่บริษัทก็ยังสามารถเพิ่มยอดขายได้อย่างน่าประทับใจทีเดียว
นั่นแสดงให้เห็นว่าราคาไม่ใช่ปัญหาในการขยายตัวของบริเกต์ไปสู่ตลาดนอกทวีปยุโรป
ก่อนหน้านี้บริเกต์ไม่เคยผลิตนาฬิกาที่มีราคาต่ำกว่า 15,000 ฟรังก์ แต่ระยะหลังเริ่มมีการผลิตในราคาที่ต่ำลงมาเป็น
6,900 ฟรังก์และราคา 9,500 ฟรังก์ ซึ่งเป็นรุ่นยอดนิยม ส่วนรุ่น functional
ที่จะมีการแนะนำในปี 1999 นั้นจะมีราคาประมาณ 11,000 ฟรังก์
บริษัทมีนโยบายที่จะทำราคาทั่วโลกให้เท่ากันเป็นลักษณะ worldwide price
แต่อย่างไรก็ตาม ราคาของสินค้าในแต่ละประเทศจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับภาษีสินค้านำเข้าของแต่ละประเทศ
โดยเฉลี่ยราคาสินค้าในเอเชียจะสูงกว่าราคาขายปลีกที่สวิตเซอร์แลนด์ประมาณ
5%-12% ซึ่งถือเป็นส่วนต่างที่สมเหตุสมผลเพราะลูกค้าไม่ต้องเดินทางไปซื้อที่ยุโรป
ก่อนหน้านี้บริเกต์มีรุ่นนาฬิกาที่ประดิษฐ์ขึ้นมาขายถึง 1,400 กว่ารุ่น
แต่ตอนนี้ได้ลดจำนวนรุ่นลงเหลือเพียง 100 กว่ารุ่น ซึ่งล้วนเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมสั่งซื้อมากทุกรุ่น
และยังมีการแนะนำรุ่นใหม่ๆ ออกมาอีกเพื่อขยายกลุ่มลูกค้าให้กว้างขึ้น โดยรุ่นใหม่ๆ
นั้นมีราคาต่ำลง วิธีการเช่นนี้เป็นการช่วยบริหารสต็อกผลิตภัณฑ์ของบริษัทให้เหลือน้อยลง
ขณะที่มียอดขายเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี บริษัทยังมียอดสั่งซื้อในมือนับจำนวนหมื่นๆ เรือนที่ยังไม่ได้ผลิต
เพื่อส่งมอบบริษัทมียอดการผลิตปีละ 7,000 กว่าเรือน และเพิ่มขึ้นมาเป็น 8,500
เรือน ซึ่งคาดว่าในช่วง 3-4 ปีข้างหน้านี้ บริษัทจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้เป็น
15,000 เรือนต่อปี
ศักยภาพในการที่จะผลิตให้ได้เป็นจำนวนมากนั้น บริษัทสามารถทำได้ทันที แต่ยังระวังในเรื่องคุณภาพ
จึงจะดำเนินการเพิ่มกำลังการผลิตอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้ เมื่อปี 1995-1996
นั้น บริษัทมีกำลังการผลิตเพียงปีละ 4,500 เรือนเท่านั้น ช่วง 2 ปีที่มีการเพิ่มกำลังการผลิตมากเนื่อง
จากมีการผลิตรุ่นใหม่คือ fly back ซึ่งมีราคาย่อมเยา และมีความสลับซับซ้อนน้อยกว่ารุ่นก่อนหน้า
แต่สามารถขายได้ดีมาก จึงมีความต้องการสูงมากตามมา
นาฬิกาที่มีความสลับซับซ้อนน้อยก็จะใช้เวลาน้อยลงในการผลิต ทำให้สามารถผลิตได้จำนวนมากกว่านาฬิการุ่นที่มีความสลับซับซ้อนมาก
นี่คือเหตุผลที่บริษัทสามารถผลิตจำนวนนาฬิกาเพิ่มขึ้นได้มากในช่วง 2 ปีหลัง
กลุ่มบริเกต์มีบริษัทในเครือรวม 4 แห่ง มีโรงงานผลิตชิ้นส่วนนาฬิกาและประกอบนาฬิกา
มีช่างนาฬิการวม 95 คน ซึ่งถือว่าน้อยไป บริเกต์ต้องการช่างฝีมือเพิ่มให้ได้ประมาณ
150 คน