ผมกำลังรองานของปรส.ที่จะ เอาอสังหาริมทรัพย์ของ 56 ไฟแนนซ์ออกมาประมูล
โดยจะเข้าเป็นผู้ดำเนินการประมูล ซึ่งผมคาดว่าจะได้รับเลือก เพราะเราเป็นบริษัท
มืออาชีพที่มีการดำเนินงานเรื่องประมูลบ้าน ประมูลรถ มาอย่างต่อเนื่อง"
เทพทัย ศิลา กรรมการผู้จัดการบริษัทสหการประมูลกล่าวกับ "ผู้จัดการรายเดือน"
อย่างมั่นใจ แน่นอนเทพทัยหวังไว้ว่าหากคว้างานนี้มาได้จะทำให้บริษัทของเขาเป็นที่ยอมรับ
และมีชื่อเสียงในวงการเพิ่มขึ้น และเขาคาดว่าจะรู้ว่าใครเป็นผู้ดำเนินการประมูลแน่นอนในเดือนตุลาคมนี้
แต่ถัดจากวันให้สัมภาษณ์
"ผู้จัดการรายเดือน" เพียงวันเดียว ทางปรส. ก็ได้มีงานแถลงข่าวเรื่อง
"ปรส.จะนำอสังหาริมทรัพย์ของ 56 ไฟแนนซ์ออกมาประมูลในวันที่ 8 พ.ย.
2541" และประกาศรายชื่อบริษัทที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ดำเนินการประมูลคือ
เอ็น.ซี.ซี. แมเนจเม้นท์ แอนด์ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัท ที่มีทักษิณ
ชินวัตร เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และมีงานหลักคือการบริหารศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ในปัจจุบัน
เอ็น.ซี.ซี.ฯ ไม่เคยสร้างผลงานเรื่องการประมูลบ้านหรือที่อยู่อาศัยอื่นๆ
เคยแต่เพียงทำหน้าที่เป็นผู้จัดการประมูลรูปภาพของปรส.มาก่อนเท่านั้น จึงเกิดข้อสงสัยเล็กๆ
ขึ้นว่าทำไมจึงได้รับการคัดเลือกในครั้งนี้?
"ที่เราได้รับงานนี้เป็นเพราะเราไม่ได้คิดค่าคอมมิชชั่น เป็นเปอร์เซ็นต์เหมือนบริษัทอื่นๆ
เราขอเพียงกำไรนิดหน่อย ให้พนักงานมีงานทำก็พอแล้ว และที่สำคัญการที่มีศูนย์ประชุมสิริกิติ์ซึ่งจะใช้เป็นที่ประมูลนั้นก็เป็นของบริษัทเราเอง
บอกได้เลยผมได้ค่าบริหารในเรื่องการประมูลนี้ไม่ถึง 10 ล้านบาท" ประพันธ์
อัศวารี กรรมการบริษัทเอ็นซี.ซี. ชี้แจง เฉลยข้อสงสัยที่ว่าทำไมบริษัทที่มีประสบการณ์น้อยนิดอย่างบริษัทของเขาจึงได้รับเลือก
แม้จะพลาดงานนี้ไปอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่ทางสหการประมูล ก็ยังมีงานประมูลบ้านของลูกค้าทั่วไปในทุกวันเสาร์ที่
3 ของเดือน ส่วนงานประมูลรถจะมีทุกวันเสาร์และอาทิตย์ ขณะเดียวกันก็เตรียมทีมงานไว้พร้อมเพื่อรับงานประมูลสินค้าทั่วๆ
ไปด้วย
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2534 เทพทัยตั้งบริษัทสหการประมูลด้วยความไม่มั่นใจเลยว่าจะได้รับการยอมรับหรือไม่
โดยมีทีมงานเพียง 10 คน เช่าพื้นที่สำหรับตั้งบริษัทและลานประมูลในเนื้อที่เพียง
2 ไร่ ในบริเวณซอยลาดพร้าว 87 เริ่มงานด้วยการประมูลรถที่สถาบันการเงินยึดจากลูกค้ามาทำการประมูล
"ผมไปเห็นแนวทางประมูลในประเทศญี่ปุ่น และอเมริกา ทำให้เราสนใจที่จะตั้งบริษัทมาตั้งแต่ปี
2530-2531 แต่พอเช็กตลาดบ้านเราก็พบว่าตลาดไม่ยอมรับ เพราะว่าในสมัยนั้นตลาดเป็นของผู้ขาย
มีอะไรก็ขายได้ ขายใบจองกันวุ่น รถมือ 2 เองก็ปรับราคา กันทุกเดือนพลอยขายดีไปด้วยเพราะรถใหม่ขาดตลาด
เศรษฐกิจมันบูมมาก" เทพทัยอธิบาย
การประมูลที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นก็จะเป็นเรื่องที่เจ้าของทรัพย์สิน
เจ้าของไฟแนนซ์ทำกันเอง เปิดประมูลตรงไหนคนก็ไปประมูล ไม่ต้องอาศัยคนกลางไม่
ต้องทำการตลาด ไม่ต้องทำการประชาสัมพันธ์ จะมีคนไปซื้อกันเยอะ ขายหมด เพราะตลาดรถต้องการรถมาก
แต่ในที่สุดหลังจากที่สหการ ประมูลได้ทำงานอย่างมีระบบ มีการประชาสัมพันธ์
ทำการตลาด ดึงคนให้เข้ามาร่วมการประมูลมากขึ้น ได้ราคาที่เป็นที่พอใจกันทั้ง
2 ฝ่ายก็ทำให้มีลูกค้ามากขึ้น ปี 2535 เทพทัยก็ได้มาเปิดที่ทำการแห่งใหม่
บนถนนประชาอุทิศ ในพื้นที่ถึง 30 ไร่ คราวนี้เขาพกความมั่นใจในการตั้งบริษัทเต็มเปี่ยม
พร้อมกับขยายสาขาไปยังฝั่งธนบุรี และสาขาเซียร์รังสิต เพื่อสร้างความสะดวกให้ลูกค้าแต่ละย่านๆ
ไป
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาส่วนใหญ่ สหการประมูลจะทำการประมูลเฉพาะรถยนต์เท่านั้น
และได้รับความไว้วางใจจากสถาบันการเงินหลายๆ แห่งในการให้เป็นผู้ประมูล รถที่ถูกยึดมา
พอร์ตใหญ่ๆ ก็เช่นรถจากซิตี้แบงก์ รวมทั้งการรับงานจาก ปรส. คืองานประมูลรถยนต์ที่ยึดมาจาก
56 สถาบันการเงิน เป็นรถประจำตำแหน่งของผู้บริหารที่ไฟแนนซ์ ต่างๆ ยึดมาแต่ยังไม่ได้ขายทอดตลาดก็ถูกสั่งปิดเสียก่อน
ประมาณ 4 พันคัน สหการประมูลรับมาจัดการเรื่องประมูล 2,500 คัน ขายได้ราคาไปประมาณ
600 ล้านบาท จากที่เคย ทำยอดขายต่อวันประมาณ 30 ล้านบาท แต่ในงานนี้ทำยอดเงินได้สูงถึง
180 ล้านบาทต่อวัน
จากต้นปี ถึงเดือนกันยายน 2541 นี้ บริษัททำการประมูลรถไปได้แล้วประมาณ
11,000 คันมูลค่า 2,600 ล้านบาท เป็นของปรส. 600 ล้านบาท ที่เหลือเป็นของสถาบันการเงินต่างๆ
"ราคารถปรับตัวลงไปประมาณ 10% จากปีที่แล้วกำลัง ซื้อน้อยลงแต่ผู้ประกอบการสนใจงานประมูลมากขึ้น
ยอดขายต่อสัปดาห์ประมาณ 200 คัน เป็นเงินประมาณ 40-50 ล้าน ถ้าเทียบกับเมื่อก่อนจะขายได้เพียง
100 กว่าคันเท่านั้น"
จากงานประมูลรถ สหการประมูลเริ่มเข้าสู่การประมูลบ้าน ซึ่งจะเป็นบ้านทั่วไป
รวมทั้งบ้านที่สถาบันการเงินยึดมา โดยเริ่มเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2541 เป็นครั้งแรก
ซึ่งประสบความสำเร็จพอสมควร และได้วางแผนไว้ว่าปีนี้จะจัดประมูลบ้านเพียงเดือนละครั้งเท่านั้น
โดยในการประมูลต่อครั้งจะรับบ้านไม่เกิน 70 หลัง
จากสถิติที่ผ่านมา เทพทัยเปิดเผยว่า "ถ้าจะให้ฟันธงลงไปว่าราคาบ้านลดลงเท่าไหร่
ก็มองง่ายๆ ว่าปีที่แล้วราคาเท่าไหร่ก็แล้วแต่ปีนี้จะลดลง 50% แต่ถ้าเป็นรถยนต์จะลดลง10-20%"
แม้จะพลาดงานของ ปรส. แต่ตราบใดที่สถาบันการเงินต่างๆ กำลังเอาสินค้าของตัวเองมาเลหลังขายก่อนเป็นหนี้เสีย
รวมทั้งการยอมรับของประชาชนที่จะซื้อสินค้าโดยผ่านระบบการประมูลมากขึ้น อนาคตของธุรกิจนี้
เทพทัยจึงมั่นใจว่าจะมีช่องทางอีกมากทีเดียว