ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ในยุคฟองสบู่แตก ที่ทุกวงการธุรกิจต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด
ด้วยการนำยุทธวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นลดเงินเดือน ลดพนักงาน ลดกำลังการผลิต
และถ้าไม่ไหวจริงๆ ต้องงัดไม้เด็ดมาใช้ คือปิดกิจการ
อุตสาหกรรมกระจกก็ไม่ต่างจากธุรกิจอื่นๆ ที่ได้รับความบอบช้ำจากวงจรอุบาทว์
ทั้งๆ ที่อุตสาหกรรมกระจกในอดีต คือ ธุรกิจที่สร้างความร่ำรวยให้กับผู้ประกอบการเป็นกอบเป็นกำ
เพราะมีผู้ประกอบการไม่มากและนโยบายรัฐบาลเอื้ออำนวย ในการทำธุรกิจ ก่อนปี
2506 ไทยต้องนำกระจกเข้าจากยุโรป โดยเฉพาะกระจกฝรั่งเศส หลังจากนั้นปริมาณการนำเข้าจึงได้ลดลง
เมื่อบริษัท กระจกไทย จำกัด เป็นบริษัทแรกที่เริ่มผลิตใช้เองได้ และปีต่อมาได้ร่วมทุนกับบริษัท
อาซาฮีกลาส จำกัด ประเทศญี่ปุ่น จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท กระจกไทยอาซาฮี
จำกัด (TAG)
ยุคแรกๆ อุตสาหกรรมกระจกไทยมีโครงสร้างการผลิตและการตลาดเป็นแบบผูกขาด
(Monopoly) ส่งผลให้ผู้ผลิตมีอำนาจในการกำหนดราคาได้อย่างเต็มที่ สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากรัฐบาลต้องการมีนโยบายให้ความคุ้มครอง
มาตรการที่รัฐนำมาใช้ คือ ภาษีศุลกากร โดยตั้งไว้ที่ระดับ 50% และการจำกัดจำนวนโรงงานเพื่อต้องการรักษาระดับปริมาณ
การผลิตให้เหมาะสมกับความต้องการภายในประเทศเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการทุ่ม
ตลาดจากต่างประเทศ
ต่อมาในปี 2533 รัฐบาลได้เปิดเสรีในการผลิตและตั้งโรงงานกระจก ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนจากบริษัท
บางกอกโฟลทกลาส จำกัด (เริ่มผลิตตุลาคม 2534) และบริษัท กระจกสยาม จำกัด
(เริ่มผลิตตุลาคม 2534) บริษัท สยามการ์เดียน จำกัด (เริ่มผลิตตุลาคม 2535)
ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC)
นับจากนั้นเป็นต้นมา โครงสร้างตลาดกระจกไทยได้เปลี่ยนจากตลาดผูกขาดเป็นตลาดที่มีผู้แข่งน้อยราย
(Oligopoly) การแข่งขันเริ่มมีสูงมากขึ้น อีกทั้งการลดอัตราภาษีนำเข้าเหลือ
30% อย่างไรก็ตาม ราคาจำหน่ายยังไม่สามารถ ลดลงได้ เพราะยังผูกติดกับผู้ผลิตรายใหญ่อยู่และการนำเข้ากระจกจากต่างประเทศ
ก็ไม่สามารถสั่งโดยตรงได้ ต้องผ่านผู้ผลิตภายในประเทศอยู่
ยุคโชติช่วงของกระจกไทย เริ่มในช่วงที่พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี
ความต้องการกระจกภายในประเทศมีสูง เฉลี่ยอัตราการเติบโตกระจกไทยปี 2534-2539
มีสูงถึง 10.15% ถือว่าเป็นยุคทองของอุตสาหกรรม กระจกไทย
สูงสุดสู่สามัญเมื่อสถานการณ์ตลาดกระจกเริ่มสั่นคลอนเพราะภาวะเศรษฐกิจในปี
2540 ชะลอตัวลงอย่างรุนแรง อีกทั้งปัญหาทางการเงินที่ขาดสภาพคล่อง ส่งผลให้สภาพการแข่งขันเกิดขึ้นอย่างรุนแรง
เนื่องจากอุตสาหกรรม ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจกระจก โดยเฉพาะธุรกิจก่อสร้างอาคาร
สำนักงาน ปัจจุบันแทบจะไม่มีการก่อสร้าง เชื่อว่าธุรกิจก่อสร้างหดตัวลงไปมากกว่า
80% แล้ว ทำให้กระทบต่อตลาดกระจกโดยตรง ดังนั้นบรรดาผู้ผลิตกระจกต้องแก้ปัญหาด้วยการลดกำลังการผลิตบางส่วนลง
จากข้อมูลของกระจกไทยอาซาฮีปรากฏว่าปี 2540 ประเทศไทยมีกำลังการผลิตกระจกแผ่นทั้งสิ้น
640,200 ตันเพิ่มขึ้นจากปี 2539 จำนวน 102,800 ตัน ขณะนี้ความต้องการมีเพียง
302,400 ตัน ลดลงจากปี 2539 จำนวน 43,400 ตัน ส่วนปี 2541 มีกำลังการผลิต
687,000 ตัน ด้านความต้องการมีจำนวน 199,200 ตัน ลดลงจากปีที่แล้ว 103,200
ตัน
นอกจากนี้ผู้ผลิตกระจกยังต้องเจอปัญหากระจกจากต่างประเทศ ได้เข้ามาทุ่มตลาดกันอย่างคึกคัก
เนื่อง จากกระทรวงการคลังได้ลดภาษีนำเข้ากระจก โดยเฉพาะกระจกแผ่น เรียบจาก
50% ในปี 2538 เหลือ 40% ในปี 2539 และ 30% ในปี 2540 ประกอบกับในข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน
(AFTA) กระจกแผ่นอยู่ในกลุ่มสินค้า fast track ซึ่งไทยต้องลดภาษีนำเข้าจากกลุ่มประเทศอาเซียนให้เหลือ
0-5% ภายในปี 2543 ทำให้มีการนำเข้ากระจกแผ่นเรียบราคาถูกจากประเทศที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่า
เข้ามาแข่งขันเพิ่มขึ้น แต่ในปี 2540 เศรษฐกิจไทยเริ่มตกต่ำทำให้มูลค่าการนำเข้ากระจกมีเพียง
1,004.7 ล้านบาท หรือลดลงจากปี 2539 ถึง 22.3% ส่วนครึ่งแรกปี 2541 มูลค่าการนำเข้ากระจกมี
418.1 ล้านบาท
สำหรับภาวะตลาดกระจกปี 2541 คาดว่าปริมาณความต้องการจะลดลงเกินกว่า 30%
เมื่อเทียบกับปี 2540 โดยความต้องการจะอยู่ในระดับไม่เกิน 300,000 ตัน ทำให้ปริมาณกระจกที่ผลิตได้ในปัจจุบันเกินความต้องการ
(over supply) ประมาณ 306,900 ตัน หรือ 50.6% ของกำลังการผลิตรวม ซึ่งกระจกที่เกินความต้องการดังกล่าวยังไม่รวมถึง
ปริมาณการนำเข้าจากต่างประเทศ
จากอุปสรรคของผู้ผลิตกระจกไทยที่เจอทั้งศึกในศึกนอก จำเป็นต้องรีบหาทางแก้ปัญหาเพื่อให้สามารถดำเนินกิจการต่อไป
เพราะคาดว่าสภาพการแข่งขันในอนาคตจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากปริมาณการผลิตเกินความต้องการภายในประเทศ
และอัตราการขยายตัวของกระจกนำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการแข่งขัน
หนทางการแก้ปัญหาในช่วงนี้ คือ การปรับราคาจำหน่ายให้ใกล้เคียงกับกระจกนำเข้ามากที่สุด
แต่วิธีนี้ทำได้ในช่วงสั้นๆ เท่านั้นเพราะต้นทุนการผลิตกระจกไทยสูงกว่าจากต่างประเทศ
เมื่อถึงจุดๆ หนึ่งจะไม่สามารถอยู่ต่อไปได้
นอกจากนี้ก็หันไปขยายตลาดส่งออกมากขึ้น จากข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่าในช่วง
5-6 ปีที่ผ่านมา ปริมาณการส่งออกกระจกไทยสามารถสร้างมูลค่าได้มากกว่าการนำเข้าอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นการส่งออกกระจกไทยมักจะมีมูลค่าน้อยกว่าการนำเข้ากระจกมาโดยตลอด
โดยตลาดการส่งออกในช่วงครึ่งแรกปี 2541 สามารถส่งออกคิดเป็นมูลค่ารวม 1,207.7
ล้านบาท ขยายตัวขึ้น 87.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2540 ตลาดหลักอยู่ที่ญี่ปุ่น
มีมูลค่า 188.0 ล้านบาท สิงคโปร์ 100.2 ล้านบาท ฮ่องกง 94.9 ล้านบาท ไต้หวัน
91.3 ล้านบาท และออสเตรเลีย 51.6 ล้านบาท ขณะเดียวกันก็พยายามเจาะตลาดใหม่ๆ
เช่น เวียดนาม กัมพูชา ลาว
อีกทั้งยังหันมาปรับปรุงกระบวนการผลิต เพื่อลดต้นทุนด้วยการหันมาใช้วัตถุดิบภายในประเทศ
เช่น โซดาแอช และโซเดียมคาร์บอเนต และยังมีผู้ผลิตบางแห่งได้ปรับสูตรหรือส่วนผสมวัตถุดิบ
ให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ที่จะผลิตให้ได้จำนวนมากขึ้น หรือหันไปสร้างมูลค่าให้กระจกมากขึ้นด้วยการผลิตกระจกโค้ง
กระจกนิรภัย กระจกเงา เป็นการกระตุ้นผู้บริโภคให้มีเพิ่มมากขึ้น
สำหรับสิ่งที่ผู้ผลิตกระจกไทยต้องการให้ภาครัฐบาล เข้ามาช่วยโดยด่วน คือ
ให้ยืดการลดภาษีนำเข้าตามข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ออกไปจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น
รวมทั้งพยายามหาทางกีดกันไม่ให้กระจกจากต่างประเทศเข้ามาทุ่มตลาดได้ง่าย
ด้วยวิธีเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น (surcharge)
อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้รัฐบาลยังไม่มีคำตอบเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือผู้ผลิตกระจก
ราวกับจะตัดหางปล่อยวัดไปเลย แม้ว่าจะมีการเรียกร้องอยู่เรื่อยๆ แต่คำตอบที่ได้จากรัฐบาล
คือ ความว่างเปล่า ดังนั้นผู้ผลิตแต่ละรายจำเป็นต้องช่วยเหลือตัวเองไปก่อน
จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ซึ่งไม่รู้ว่าทิศทางของธุรกิจกระจกในประเทศในอนาคตจะออกหัวหรือออกก้อย