Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กรกฎาคม 2543








 
นิตยสารผู้จัดการ กรกฎาคม 2543
ฟอร์ด มอเตอร์             
 


   
search resources

ฟอร์ด มอเตอร์




เฮนรี่ ฟอร์ด ก่อตั้งบริษัทฟอร์ด มอเตอร์เมื่อปี 1903 ที่เดียบอร์น มิชิแกน หลังจากนั้น ห้าปีก็เปิดตัวรถ Model T ที่ผลิตจากสายการผลิต ที่ปฏิวัติวงการรถยนต์ในยุคนั้น พอถึงปี 1920 รถยนต์ราว 60% ที่วิ่งอยู่ในสหรัฐฯ ก็เป็นรถยี่ห้อฟอร์ด

ปี 1916 ฟอร์ดยกเลิกการจ่ายเงินปันผลผู้ถือหุ้นตามแบบ ที่เคยปฏิบัติมาทำให้ผู้ถือหุ้นพากันฟ้องร้อง ฟอร์ดจึงต้องซื้อหุ้น ที่ค้างชำระเงินปันผลคืนทั้งหมดใน อีกสามปีต่อมา และกลายเป็นธุรกิจในครอบครัวเรื่อยมาจนกระทั่งปี 1956

ปี 1922 ฟอร์ดซื้อกิจการ "ลินคอล์น" ไว้แล้ว หยุดผลิตรถ Model T ในปี 1927 โดยนำรถ Model A ออกมาแทนในปี 1932 รถรุ่นนี้เป็นรถยนต์ราคาถูก และ ใช้เครื่องยนต์สี่สูบ ปีเดียวกันนี้ เฮนรี่ ฟอร์ดมีสุขภาพไม่เอื้ออำนวย เอ็ดเซล บุตรชายจึงรับตำแหน่งกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ หลังจากนั้น ส่วนแบ่งตลาดของฟอร์ด ก็ลดลงจนตามหลังจีเอ็ม และไครสเลอร์ แม้ว่าจะนำรถ "เมอร์คิวรี่" ออกวางตลาดในปี 1938 ก็ตาม

ปี 1943 เอ็ดเซลเสียชีวิตกะทันหัน เฮนรี จูเนียร์ บุตรชายของเขาจึงเข้ามาบริหารกิจการ และจัดการบริหารใหม่โดยเน้นการกระจายอำนาจบริหารตามแบบของจีเอ็ม จนในปี 1950 ฟอร์ดก็สามารถขยับขึ้นมารั้งตำแหน่งผู้นำตลาดรถอันดับสองของสหรัฐฯ ได้

เมื่อเกิดวิกฤติการณ์น้ำมันในช่วงทศวรรษ 1970 ฟอร์ดลดพนักงานลงราว 33% และปิดโรงงาน 15 แห่ง ในช่วงทศวรรษต่อมา นอกจากนั้น ยังแตกแขนงธุรกิจ ไปสู่อุปกรณ์ด้านการเกษตรโดยการเข้าซื้อกิจการ นิวฮอลแลนด์ (New Holland) ในปี 1986 และ ซื้อเวอร์แซไทล์ (Versatile) ในปี 1987 อีกทั้งยังเปิดตลาดรถสปอร์ตหรู โดยเข้าซื้อหุ้น 75% ของบริษัทแอสตัน มาร์ติน (Aston Martin) ในปีเดียวกัน และซื้อหุ้น ที่เหลือในปี 1994

ในปี 1988 ฟอร์ดวางตลาดรถทอรัส (Taurus) และเซเบิล (Sable) หนุนให้ฟอร์ดมีส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในสหรัฐฯ คือ ราว 21.7% ภายในเวลาสิบปี ต่อมา ฟอร์ดเข้าซื้อกิจการ "แอสโซสิเอตส์" (Associates) ซึ่งเป็นธุรกิจบริการการเงิน และซื้อกิจการผลิตรถหรู "จากัวร์" ด้วย

ปี 1990 ฟอร์ดขายกิจการ "ฟอร์ด แอโรสเปซ" ให้กับบริษัทโลรัล และผนวกกิจการ "นิว ฮอลแลนด์" กับบริษัทเฟียต ที่อยู่ในเครือในปี 1991 (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น ซีเอ็นเอช โกลบอล ในปี 1999) ปี 1992 ฟอร์ดถูกฟ้องเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการสุขภาพของพนักงาน ที่เกษียณอายุเป็นเงินถึง 7,400 ล้านดอลลาร์

ฟอร์ดซื้อกิจการเฮิร์ตซ์ (Hertz) ในปี 1994 และอีกสองปีต่อมาก็ซื้อบริษัทเช่ารถ "บัดเจท เรนต์ อะ คาร์" ซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 3 ของสหรัฐฯ แต่แล้วก็ขายทิ้ง ในปี 1997 ในปี 1996 เช่นกัน ฟอร์ดขายหุ้น 19% ในธุรกิจการเงิน "แอสโซสิเอทส์ เฟิร์สต์ แคปิตอล" แล้ว เพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นในกิจการมาสด้า (Mazda) เป็นหนึ่งในสาม

ต่อมาฟอร์ดหันไปเน้นการผลิตรถยนต์ขนาดกลาง และรถบรรทุกเบา จึงขายกิจการรถบรรทุกหนักให้กับเดมเลอร์-เบนซ์เมื่อสามปีก่อน เป็นเงินราว 200 ล้านดอลลาร์

ฟอร์ดเริ่มสายการผลิตรถมินิบัสในจีนเมื่อปี 1997 แซงหน้าจีเอ็ม ที่ต้องการเข้าไปผลิตรถป้อนตลาดจีน

ปี 1998 ฟอร์ดขายหุ้นส่วน ที่เหลือใน "แอสโซ สิเอทส์ เฟิร์สต์ แคปิตอล" แล้วซื้อแผนกเครื่องยนต์ รถแข่ง "คอสเวิร์ธ" (Cosworth) จากออดี้ หลังจากนั้น ฟอร์ดยังขายหุ้นโดยตรง ที่ถืออยู่ในบริษัทเกีย มอเตอร์ ออกไป โดยคงไว้เพียงหุ้นทางอ้อมในบริษัทมาสด้า ในปี 1998 อเล็กซ์ ทรอตแมน ประธานกรรมการ กรรมการ ผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของฟอร์ดเกษียณอายุ เปิดทางให้วิลเลียม ฟอร์ด จูเนียร์ ซึ่งเป็นเหลนของผู้ก่อตั้งสืบทอดตำแหน่งประธานกรรมการ โดย จ๊าคส์ แนสเซอร์ ลูกหม้อเก่าของฟอร์ด รับผิดชอบอีกสองตำแหน่ง

ฟอร์ดซื้อกิจการผลิตรถของวอลโว่เมื่อปีที่แล้ว เป็นมูลค่า 6,450 ล้านดอลลาร์ และรวมชื่อรถแอสตัน มาร์ติน, จากัวร์ และลินคอล์น ไว้ใน "พรีเมียร์ ออโต้โมทีฟ กรุ๊ป" ที่เพิ่งซื้อมา โดยให้โวล์ฟกัง รีตเซิล (Wolfgang Reizle) อดีตประธานกรรมการของบีเอ็มดับบลิวเป็นผู้รับผิดชอบ ฟอร์ดยังเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจเกี่ยวกับบริการหลังการขายด้วยการ ซื้อกิจการเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น "ควิก-ฟิต โฮลดิ้งส์" (Kwik-Fit Holdings) แห่งสหราชอาณาจักรเป็นมูลค่า 1,600 ล้านดอลลาร์ และ "ออโตโมบาย โพรเท็คชัน คอร์ปอเรชัน" (APCO) อีกทั้งยังเจาะเข้าไปยังธุรกิจใหม่ ในสหรัฐฯ เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์มือสอง รวมทั้งซื้อแผนกสินเชื่อของมาสด้าเป็นเงิน 69 ล้านดอลลาร์

ฟอร์ดยังพยายามสร้างสรรค์บริการใหม่ๆ ให้ลูกค้า ปีที่แล้วบริษัทมีแผนที่จะผลิตรถตามคำสั่งลูกค้าโดยร่วมมือกับไมโครซอฟต์เปิดเว็บไซต์ "CarPoint" และยังเริ่มทำธุรกิจแบบออนไลน์ในหมู่ซัปพลายเออร์ ดีลเลอร์ และฟอร์ด ในชื่อ "Auto-xchange" ซึ่งร่วมทุนกับออราเคิล (ต่อมาซิสโกเข้ามาถือหุ้นด้วย) ปลายปีที่แล้วฟอร์ดยังสามารถเปิดตัวรถ "Prodigy" ซึ่งเป็น รถ ที่มีกำลังเกินกว่า 70 ไมล์ต่อแกลลอน

ปีนี้ ฟอร์ดปรับตัวอีกครั้งโดยเข้าร่วมการประมูล สู้กับจีเอ็ม เพื่อซื้อ "แดวู" ซึ่งเป็นบริษัทผลิตรถอันดับ 2 ของเกาหลี และยังประกาศจะขายหุ้นกิจการ "วิสเตียน" (Visteon) ด้วย ฟอร์ดยังได้ซื้อแผนกแลนด์โรเวอร์ เอสยูวีของบีเอ็มดับบลิวเป็นมูลค่าราว 2,700 ล้านดอลลาร์ โดยจะนำชื่อแลนด์ โรเวอร์เข้าไปรวมไว้ใน "พรีเมียร์ ออโต้โมทีฟ กรุ๊ป" ด้วย

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us