Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ธันวาคม 2541








 
นิตยสารผู้จัดการ ธันวาคม 2541
วันนี้ของ "โชคไพบูลย์กิจ" 43 ปีของ "ฟุตบอลไทย"             
 

   
related stories

ลิขสิทธิ์เอเชี่ยนเกมส์ กระจายรายได้เพื่อชาติ - เพื่อชื่อ




กว่า 40 ปีมาแล้ว หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบสิ้นลงใหม่ๆ ชายหนุ่มผู้มีนามว่า กมล โชคไพบูลย์กิจ ได้เริ่มต้นทำมาหากินด้วยอาชีพรับจ้างซ่อมรองเท้าข้างศาลาวัดย่านสะพานเหลือง อยู่มาวันหนึ่งมีคนเอาลูกบอลหนังมาให้ซ่อม สมัยนั้นคนไทยยังไม่ค่อยรู้จักลูกฟุตบอลเท่าไร คนที่จะเตะฟุตบอลได้ต้องเป็นคนมีเงิน หรือไม่ก็ฝรั่งที่ยังหลงค้างจากสงคราม เนื่องจากฟุตบอล เป็นของนำเข้าที่มีราคาแพงมาก ชาวบ้านธรรมดารู้จักแต่ลูกมะพร้าวที่ใช้เตะแก้ขัดได้แต่ไหนแต่ไรมา

หลังจากนั้นก็มีฝรั่งเอาลูกฟุตบอลมาให้กมลซ่อมอยู่เป็นประจำ จนกระทั่งเขาเกิดความคิดว่า "เราน่าจะเย็บลูกบอลได้เอง" เขาจึงเริ่มต้นแกะลูกบอลหนังที่ลูกค้ามาฝากซ่อม เรียนรู้วิธีการเย็บของฝรั่ง และเริ่มซื้อหนังมาลองเย็บเองดูบ้างจนสำเร็จ เขาก็เริ่มต้นอาชีพการเย็บลูกฟุตบอลขายแต่นั้นมา จากวันละลูกสองลูก ได้กำไรพอที่จะขยายกิจการ โดยไปขอเช่าที่แถวลาดกระบังและจ้างคนงานเพิ่มอีก 2-3 คน กิจการก็เจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนในปี 2499 กมลได้ขอจดทะเบียนโรงงานฟุตบอลของเขาเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด โรงงานฟุตบอลไทย

ต่อมาเมื่อปี 2505 ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดกีฬาแหลมทอง กิจการของโรงงานก็พลอยดีไปด้วยจาก คนงาน 2-3 คน กลายเป็น 20-30 คน และในปี 2511 เป็นปีแรกที่เขาส่งลูกฟุตบอลที่ผลิตได้จากโรงงานฟุตบอลไทยไปขายยังต่างประเทศ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้รับการติดต่อจากลูกค้าต่างชาติให้เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์กีฬาชนิดอื่นให้ด้วย อาทิ นวม กระดานหมากรุก กระดานสกา โต๊ะปิงปอง อุปกรณ์โรงยิมทุกชนิด รวมไปถึงเสื้อผ้าและรองเท้าสำหรับนักกีฬาด้วย

ในปี 2521 ปีที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่ 8 ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 3 ของประเทศไทยที่ได้รับเป็นเจ้าภาพงานกีฬานี้ และในปีนั้นเองที่ลูกฟุตบอลไฟว์สตาร์ ที่ผลิตโดยโรงงานฟุตบอลไทย ได้รับเลือกให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานจากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) ให้ใช้ในการแข่งขันระดับนานาชาติได้ แสดงให้เห็นว่า มาตรฐานสินค้าที่ผลิตจากโรงงานฟุตบอลไทยอยู่ในระดับมาตรฐานสากลที่นานาชาติยอมรับ ทำให้กมลภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง

ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่ปี 2536 เป็นต้นมาจนกระทั่งปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ของโรงงานฟุตบอลไทยได้รับอนุมัติอย่างเป็นทางการให้เป็นอุปกรณ์ทางการ ของคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อให้คณะนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ของประเทศไทยใช้ในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ เอเชี่ยนเกมส์ และโอลิมปิกเกมส์ หรือ อีกนัยหนึ่งคือ ฟุตบอลไทยหรือเอฟบีทีได้เป็นสปอนเซอร์ หลักของคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยอย่างเป็นทางการตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์อันดีกับคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย อันนำมาซึ่งผลประโยชน์มหาศาลในอนาคต...

กิจการของโรงงานฟุตบอลไทยขยายตัวอย่างรวดเร็ว มิได้ผลิตเพียงลูกฟุตบอลเท่านั้น หากยังผลิตอุปกรณ์กีฬาชนิดอื่นด้วย อาทิ ไม้แบดมินตัน ไม้เทนนิส ลูกบาสเกตบอล เป็นต้น ปัจจุบันมีรายการสินค้าที่ผลิตจากโรงงานถึง 218 ชนิด นอกจากนั้นยังได้ขยายโรงงานแห่งที่ 2 บนเนื้อที่ 61 ไร่ บริเวณใกล้เคียงกับโรงงาน เดิม ด้วยเงินลงทุนกว่า 300 ล้านบาท พร้อมเครื่องจักรที่ทันสมัย เพื่อผลิตสินค้าเพื่อส่งออกโดยเฉพาะ

กมลไม่ได้อยู่เพียงแค่การผลิตสินค้าอุปกรณ์กีฬาเท่านั้น ตลอด 40 กว่าปีของการทำงานของเขา เขาฝันที่จะเห็นห้างสรรพสินค้าที่เป็นศูนย์รวมเฉพาะสินค้ากีฬาทุกชนิดในเมืองไทย และเขาก็สามารถทำให้ฝันของเขาเป็นจริงได้ โดยเมื่อปลายปี 2538 เขาได้เปิดตัวเอฟ บี ที สปอร์ต คอมเพล็กซ์ ศูนย์สรรพสินค้ากีฬาที่เป็นศูนย์รวมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องของการกีฬา แห่งแรกและแห่งเดียวของเมืองไทย

ณ ชั้น 9 ของอาคารเอฟบีที สปอร์ตคอมเพล็กซ์ ที่เป็นที่ตั้งของศูนย์บัญชาการคณะกรรมการจัดงานเอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่ 13 นี้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเช่าสถานที่ เสียเพียงค่าน้ำค่าไฟและค่าโทรศัพท์เองเท่านั้น มีอายุสัญญาเช่า 2 ปี พอจบสิ้นงานเอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่ 13 นี้ ทุกหน่วยบนชั้น 9 เอฟบีที สปอร์ตคอมเพล็กซ์จะสลายตัวไปในทันที

ปัจจุบันโรงงานฟุตบอลไทยมีพนักงานทั้งสิ้นประมาณ 2,000 คน สามารถผลิตลูกฟุตบอลได้ 15,000 ลูกต่อวัน สำหรับยอดขายรวมเมื่อปีที่แล้วบริษัททำได้ 1,200 ล้านบาท ส่วนในปีนี้เศรษฐกิจไม่เป็นใจ แต่กระนั้น มนต์ชัย ลูกชายคนรองสุดท้องของกมล ผู้ดูแลงานด้านฝ่ายต่างประเทศและธุรกิจสินค้าลิขสิทธิ์ได้กล่าวอย่างมั่นใจว่า ยอดขายในปีนี้ของฟุตบอลไทยจะไม่ตกไปจากปีที่แล้วมากนัก เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าลิขสิทธิ์บอลโลก "ฟรองซ์'98" ประมาณ 200 ล้านบาท และสินค้าลิขสิทธิ์เอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่ 13 นี้ที่คาดว่าจะได้ประมาณ 300-400 ล้านบาท มาช่วยเสริมรายได้อีกช่องทางหนึ่ง

"หลังจากจบงานเอเชี่ยนเกมส์ครั้งนี้แล้ว บริษัทเรามีแผนที่จะใช้สินค้าลิขสิทธิ์เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการสร้างรายได้ให้แก่บริษัทต่อไป ซึ่งเราคาดว่าเราจะเข้าร่วมประมูลเป็นผู้จำหน่ายสินค้าลิขสิทธิ์ในเกมต่างๆ ทุกปี โดยงานต่อไปคือ งานซิดนีย์ 2000 หรืองานโอลิมปิกเกมส์ที่ซิดนีย์นั่นเอง ที่เราก็คาดว่าเราจะได้เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าลิขสิทธิ์งานดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย" มนต์ชัยกล่าวอย่างมั่นใจ จากนั้นเขาก็ใช้วิธีการเดียวกับเอเชี่ยนเกมส์ครั้งนี้คือ นำลิขสิทธิ์ที่ได้มากระจายต่อให้พันธมิตรของเขา มนต์ชัยยังเผยอีกว่า ค่าใช้จ่ายลิขสิทธิ์สินค้าซิดนีย์ 2000 ถูกกว่าสินค้าเอเชี่ยน เกมส์ครั้งนี้หลายเท่า และงานนี้จะถือเป็นการคืนกำไรให้กับบรรดาพันธมิตรที่มาร่วมในงานเอเชี่ยนเกมส์นี้ด้วย

อย่างไรก็ดี ธุรกิจหลักของฟุตบอลไทยก็ยังคงเป็นการผลิตสินค้าอุปกรณ์กีฬาเพื่อส่งออก และนำเข้าสินค้ากีฬาจากต่างประเทศมาจำหน่ายในไทย ขณะเดียวกัน ฟุตบอลไทยก็มีสินค้าในแบรนด์ของตัวเองที่จำหน่ายทั้งส่งและปลีกในประเทศ นอกจากนั้น ฟุตบอลไทยยังทำธุรกิจประมูลอุปกรณ์กีฬาของหน่วยงานราชการไทยทั้งหมดอีกด้วย และธุรกิจสินค้าลิขสิทธิ์ก็ถือเป็นธุรกิจน้องใหม่ที่มีทีท่าว่าจะสร้างรายได้ได้ดีทีเดียว

"ตอนเศรษฐกิจดีๆ ก็มีคนมาจีบให้เข้าตลาดฯ แต่พ่อไม่ยอม เพราะถือว่าบริษัทเป็นของท่านอยู่ 100% ดีๆ เป็นหนี้แบงก์ก็นิดหน่อย แต่อยู่ดีๆ จะให้คนอื่นมาร่วมตัดสินใจก็ไม่ดีกว่า" มนต์ชัยเล่า

กว่า 40 ปีของฟุตบอลไทยเติบโตมาด้วยกำไรของตนเองจากลูกฟุตบอลเพียงหนึ่งลูกกับเงินเพียง 1,000 บาทที่กู้ยืมมาได้ในวันนั้น จนกลายมาเป็นธุรกิจมูลค่า 1,000 ล้านบาทในปัจจุบันที่ยังคงเป็นของตระกูล "โชคไพบูลย์กิจ" 100%

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us