ปรากฏการณ์แห่งการแข่งขันระหว่างสองอภิมหาอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบศตวรรษ
กำลังจะเริ่มขึ้นแล้วในตลาดการเงินของโลก
ฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของตำแหน่งแชมป์ในปัจจุบัน คือสกุลเงินตรา ซึ่งถูกนำไปใช้ทำธุรกรรมกันสูงที่สุดในโลก
มูลค่าสะสมของมันได้รับความเชื่อถือมากที่สุด และได้รับการยอมรับจากธนาคารกลางทั่วโลกให้
เป็นทุนสำรองอย่างกว้างขวางที่สุด นั่นคือ เงินดอลลาร์อเมริกัน
อีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นผู้อาจหาญท้าชิง เป็นสกุลเงินตราใหม่ที่ 11 ประเทศยุโรปจะนำมาใช้เป็นเงินตราร่วมกันของพวกเขา
นั่นคือ เงินยูโร
รางวัลสำหรับผู้ชนะย่อมไม่ใช่แค่ เกียรติยศแก่ภูมิภาคไว้คุยโม้โอ้อวดอย่างแน่นอน
แต่เป็นความได้เปรียบในตลาดโลกอย่างมหาศาล อันจะนำมาซึ่งทรัพย์ศฤงคารที่มิอาจประมาณนับ
นักเศรษฐศาสตร์บอกว่า ประเทศหรือกลุ่มประเทศใดก็ตามที่มีโอกาสเป็นผู้ออกสกุลเงินตรา
ซึ่งกลายเป็นเงินตราแห่งโลกแล้ว เมื่อชาวต่างชาติมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินตรานั้น
ประเทศผู้ออกเงินตราแห่งโลกจะเท่ากับว่าได้เงินกู้จากชาวต่างชาติแบบไม่ต้องเสียดอกเบี้ย
ขณะเดียวกันรัฐบาลของประเทศเจ้าของเงินตราแห่งโลก ยังสามารถออกตราสารหนี้โดยเสียอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าชาติอื่น
นอกจากนั้น ธุรกิจภาคเอกชนจะมีต้นทุนในการระดมเงินและทำธุรกรรมทางการเงินถูกกว่าคนอื่น
และในเวลาเดียวกัน ธนาคารและสถาบันการเงินก็จะมีความได้เปรียบสูงกว่า เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ
และเพิ่มพูนพลังอำนาจทางการเมือง
สหภาพเศรษฐกิจและการเงินแห่งยุโรป ซึ่งจะบังเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการเคียงคู่ไปกับการถือกำเนิดของเงินยูโร
ในวันที่ 1 มกราคม 1999 "เป็นเหตุการณ์สำคัญที่สุดที่ปรากฏขึ้นในระบบการเงินระหว่างประเทศ
นับตั้งแต่การพังทลายของระบบอัตราแลกเปลี่ยนตายตัว เบรตตัน วู้ด เมื่อต้นทศวรรษ
1970" นั่นเป็นความเห็นของ เดวิด ดี. เฮล หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ แห่งซูริก
เคมเปอร์ อินเวสต์เมนต์ อิงค์ ในนครชิคาโก สหรัฐอเมริกา
เฮลชี้ต่อไปว่า เหตุการณ์นี้อาจทำให้เกิดการจับกลุ่มผูกพันธมิตรทางด้านเงินตรากันใหม่ในทั่วโลก
อันจะส่งผลลัพธ์อย่างสำคัญ ทั้งต่อการหมุนเวียนของการค้าและการหมุนเวียนของเงินทุน
นักเศรษฐศาสตร์ผู้นี้บอกว่า ยิ่งตลาดการเงินยอมรับเงินยูโรมากเท่าไร "ก็เกือบเป็นเรื่องแน่นอนว่า
จะยิ่งลดบทบาทอันโดดเด่นแต่ผู้เดียวของเงินดอลลาร์ ในฐานะเงินตราในทุนสำรอง"
ลงไปเท่านั้น
นอกจากนั้น หากมองกันในแง่สัญลักษณ์แล้ว มันหมายความว่า ยุโรปได้ปลดปล่อยตัวเองออกจากอำนาจความเป็นเจ้าทางการเงินของอเมริกา
ซึ่งเป็นมาตั้งแต่สิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2
ยูโรกับศักยภาพความเป็นหมายเลข 1
เงินยูโรมีโอกาสเพียงไรในการเบียดแซะฐานะการเป็นเงินตราระหว่างประเทศ ที่ดอลลาร์ครองอยู่ในปัจจุบัน
คำถามนี้เป็นที่ถกเถียงกันอย่างดุเดือด ทั้งในหมู่นักวิชาการ ผู้ค้าเงินตรา
ผู้จัดการการลงทุน นักเศรษฐศาสตร์ตลาดการเงิน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน
ตลอดจนเจ้าหน้าที่ในภาครัฐ
บางคนมีความเชื่อมั่นว่าถึงอย่าง ไรดอลลาร์ก็สามารถประคองตัวเองไว้ได้
เนื่องจากขนาดอันมโหฬารของระบบเศรษฐกิจอเมริกัน และความมั่นคงปลอดภัยตลอดจนสภาพคล่องของตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ
แต่อีกหลายคนมองว่า การค้าที่มีขนาดเป็นกอบเป็นกำของชาติยุโรป ตลอดจนขนาดอันมหึมาของระบบเศรษฐกิจหนึ่งเดียวในหมู่ชาติสมาชิกแห่งสหภาพยุโรป
(อียู) จะกลายเป็นพลังขับดันให้เงินยูโรพุ่งขึ้นสู่อันดับสูงสุดจนได้ ขณะเดียวกัน
ก็ยังมีหลายคนซึ่งเห็นว่า เงินตราทั้ง 2 สกุลจะแบ่งกันครองเข็มขัดแชมป์ โดยแต่ละฝ่ายจะสามารถควบ
คุมส่วนเสี้ยวต่างๆ ในระบบการเงินระหว่างประเทศฝ่ายละหลายส่วนเสี้ยว โดยที่ว่าไม่มีฝ่ายใดสามารถมีฐานะเหนือกว่าอีกฝ่ายหนึ่งอย่างสิ้นเชิงเมื่อมองในภาพรวมทั้งระบบ
ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มา เงินดอลลาร์มีฐานะเป็นเงินตราระหว่างประเทศที่โดดเด่นที่สุดแต่ผู้เดียวมาตลอด
ทั้งนี้ ธนบัตรดอลลาร์แต่ละฉบับ แท้จริงแล้วเป็นตัวแทนมูลหนี้ที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ
เป็นลูกหนี้ เมื่อชาวต่างชาติขายผลผลิตหรือทรัพย์สิน หรือกระทั่งนำเงินตรามาแลกเปลี่ยนแล้วรับเป็นเงินดอลลาร์
เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนพร้อมกับถือครองดอลลาร์นั้น ในทางเป็นจริงแล้วเท่ากับพวกเขารับซื้อหนี้สินของสหรัฐฯ
เอาไว้ และกำลังปล่อยเงินกู้ให้แก่รัฐบาลสหรัฐฯ โดยไม่คิดค่าธรรมเนียมนั่นเอง
ผลตอบแทนเพียงอย่างเดียวที่ชาวต่างชาติจะได้รับคือ ความมั่นคงปลอดภัยของตัวเงินดอลลาร์เอง
ซึ่งเชื่อกันว่าจะสามารถใช้ป้องกันฟันฝ่าความปั่นป่วนผันผวนทางเศรษฐกิจและการเมืองได้
ธนาคารกลางสหรัฐฯ รายงานว่า ในจำนวนเงินตราสหรัฐฯ ซึ่งนำออกใช้หมุนเวียน
443,600 ล้านดอลลาร์นั้น ราว 2 ใน 3 ถือครองกันอยู่ในต่างประเทศ การที่ไม่ต้องขอกู้และจ่ายดอกเบี้ยให้กับเงินก้อนดังกล่าว
ทำให้กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ประหยัดเงิน ได้ราวปีละ 15,000-18,000 ล้านดอลลาร์
ทีเดียว
ในฐานะผู้พิมพ์เงินตรา ซึ่งใช้จ่ายกันระหว่างประเทศสหรัฐฯ ยังได้รับอภิสิทธิ์
ซึ่งเรียกกันว่า ค่าธรรมเนียมจากสภาพคล่อง ดังที่ศาสตราจารย์พอร์เตสอธิบายว่า
เนื่องจากเงินดอลลาร์ตลอดจนหลักทรัพย์ที่เป็นสกุลเงินดอลลาร์ กลายเป็นที่ต้องการกันมากมายผิดธรรมดา
ดังนั้นเองจึงทำให้สหรัฐฯ สามารถจ่ายดอกเบี้ยในเวลาออกพันธบัตรรัฐบาลต่ำกว่า
ที่น่าจะเป็นอุปสงค์จากทั่วโลกในเงินดอลลาร์ ยังทำให้สหรัฐฯ สามารถใช้เงินตราของตัวเองมาอุดการขาดดุลชำระเงินในแต่ละปีได้
ตลอดจนช่วยลดแรงกระทบกระแทก อันเนื่องจากการขาดดุลการค้ามาอย่างยืดเยื้อยาวนานได้
สถาบันการเงินของสหรัฐฯ ก็ได้ ประโยชน์ทำนองเดียวกันจากบทบาทการเป็นเงินตราระหว่างประเทศของดอลลาร์
กล่าวคือด้วยบทบาทเช่นนี้เอง ทำให้แหล่งเงินสดที่สถาบันการเงินเหล่านี้จะเข้าไปกู้ยืม
มีขนาดใหญ่โตลึกล้ำและมีสภาพคล่องสูงกว่าปกติที่ควรจะเป็น ดังนั้น จึงสามารถระดมเงินได้ง่ายขึ้นและได้อัตราดอกเบี้ยค่อนข้าง
ต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับสถาบันการเงินของประเทศอื่น
เช่นเดียวกับพวกบริษัทธุรกิจอเมริกัน ยิ่งบริษัทเหล่านี้สามารถรับเงินค่าสินค้าส่งออกเป็นดอลลาร์ได้มากเท่าไร
บริษัทเหล่านี้จะยิ่งลดความวิตกกังวลในเรื่องการผันผวนของค่าเงินตราลงไปได้เท่านั้น
ขณะที่เงินดอลลาร์ได้ประโยชน์ มหาศาลจากการเป็นที่ต้องการของคนทั่วโลก
เงินดอลลาร์ก็กำลังยืนอยู่บนความเสี่ยงมหาศาลเช่นกัน กล่าวคือถ้าผู้คนต่างเสียความมั่นใจและพากันขายเงินดอลลาร์
นอกจากที่สหรัฐฯ จะสูญเสียผลประโยชน์ทั้งหลายแล้ว เงินตราสกุลนี้ยังจะอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วพร้อมกันนั้น
สหรัฐฯ จะพบว่าตัวเองไม่สามารถควบคุมนโยบายการเงินของตัวเองได้อีกต่อไป
นับวันความเสี่ยงที่คุกคามเงินดอลลาร์ดูจะเป็นจริงเป็นจังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเงินยูโรเริ่มใช้กันอย่างเป็นทางการ
เงินตราใหม่สกุลนี้จะมีปัจจัยข้อได้เปรียบหลายๆ ประการ ซึ่งไม่แพ้คุณลักษณ์ที่ดอลลาร์มีอยู่ในเวลานี้
จากการคำนวณของหลายฝ่ายเศรษฐกิจของทั้ง 11 ประเทศที่ใช้เงินยูโร อันได้แก่
ออสเตรีย เบลเยียม ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี ไอร์ แลนด์ อิตาลี ลักเซมเบิร์ก
เนเธอร์แลนด์ โปรตุเกส และสเปน รวมกันแล้วจะมีสัดส่วนเกือบ 1 ใน 4 ของเศรษฐกิจโลก
และเท่ากับราว 75% ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ยิ่งกว่านั้น ดินแดนที่ใช้เงินยูโร เป็นเงินตรา หรือ 'ยูโรแลนด์' ยังเป็นกลุ่มการค้าใหญ่สุดของโลกอีกด้วย
โดยเป็นผู้ทำการค้าราว 40% ของการค้าโลก ทั้งนี้เมื่อนับรวมการค้าระหว่างกันเองภายในกลุ่มเข้าไปด้วย
พาณิชยกรรมระหว่าง 11 ชาติ ที่ใช้เงินยูโรเหล่านี้ กับประเทศอื่นๆ นอกกลุ่มนั้น
คิดเป็นประมาณ 19% ของการค้าโลก สูงกว่าส่วนแบ่งตลาดโลกที่สหรัฐฯ ครองอยู่
ณ ระดับ 17%
ยูโรสะดวกกว่ากันแยะ
แนวโน้มที่เป็นอยู่ขณะนี้คือ ประเทศคู่ค้ากับบรรดาประเทศในยูโรแลนด์จะหยุดใช้เงินดอลลาร์เป็นตัวกลางในการค้า
แล้วเปลี่ยนมาใช้เงินยูโรแทน เพราะสะดวกกว่า นอกจากนั้น บริษัทเอเชียจำนวนมาก
ซึ่งเวลานี้ยังคงใช้หน่วยเงินดอลลาร์เป็นตัวกลางในการซื้อขายกับทางยุโรป
เพราะไม่อยากยุ่งยากต้องวุ่นกับเงินตราหลายสกุลเกินไป ก็ออกจะเล็งเห็นว่า
เงินยูโรเป็นทางเลือกใหม่ซึ่งน่าสนใจมากทีเดียว
เงินยูโรยังน่าจะมีสภาพคล่องสูงซึ่งเป็นคุณสมบัติหนึ่งที่นักลงทุนมองหา
ในเมื่อยูโรแลนด์จะเป็นตัวแทนของตลาดตราสารหนี้ ซึ่ง ณ สิ้นปี 1996 มีมูลค่าเท่ากับ
6.1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือราว 63% ของตลาดตราสารหนี้สกุลดอลลาร์ทั่วโลกซึ่งมีขนาด
9.6 ล้านล้านดอลลาร์
ปัจจัยเรื่องความสามารถในการควบคุมเงินเฟ้อของผู้ออกเงินตราสากล เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สามารถดึงดูดให้ชาวโลกหันมาใช้เงินตราสกุลนั้นๆ
เฮลแห่ง ซูริก เคมเปอร์ และอีกหลายคนชี้ว่าธนาคารกลางแห่งยุโรป (อีซีบี)
น่าจะเป็นเลิศในเรื่องนี้ เพราะอีซีบีเดินนโยบายในแนวทางของธนาคารกลางเยอรมนี
(บุนเดสแบงก์) ซึ่งขึ้นชื่อลือชานักในเรื่องความแข็งขันต่อต้านเงินเฟ้อ เฮลทำนายว่า
เงินยูโรจะมีส่วนแบ่งในการเป็นทุนสำรองทางการของพวกธนาคารกลางชาติต่างๆ ทั่วโลกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จน 'อย่างน้อยที่สุด' อยู่ ในราว 20-30%
ซี. เฟรด เบิร์กสเตน ผู้อำนวยการสถาบัน อินสติติว ฟอร์ อินเตอร์ เนชั่นแนล
อีโคโนมิกส์ ในกรุงวอชิงตัน ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังที่ มีอิทธิพลสูงในวงการเมืองอเมริกันเคย
ทำนายไว้ในบทความตีพิมพ์ในวารสาร 'ฟอเรนจ์ แอฟแฟร์ส์' ปี 1997 ว่า สหภาพการเงินแห่งยุโรปจะทำให้เกิดการแบ่งระบบเงินตราโลกออกเป็น
2 ขั้ว นั่นคือ เงินตราที่ครอบงำโลกจะมี 2 สกุล ได้แก่ ดอลลาร์ กับ ยูโร
แทนที่ระบบเดิมซึ่งดอลลาร์เป็นใหญ่อยู่แต่ผู้เดียวแทบตลอดช่วงศตวรรษที่ 20
และชี้ว่า ในกระบวนการพัฒนาสู่การแบ่งเป็น 2 ขั้วดังกล่าว จะเกิดการเคลื่อนย้ายปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนระหว่างประเทศอย่างมโหฬาร
โดยจะมีทรัพย์ประมาณ 500,000- 1,000,000 ล้านดอลลาร์ ถูกโยกไปถือเป็นยูโร
ซึ่งส่วนใหญ่จะโยกมาจากดอลลาร์
ศาสตราจารย์พอร์เตสแห่ง เซน เตอร์ ฟอร์ อีโคโนมิก โพลิซี รีเสิร์ช คาดว่า
เงินยูโรจะพุ่งพรวดขึ้นมามีฐานะสำคัญอย่างรวดเร็ว และได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า
การที่ยูโรจะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหนในการท้าทายฐานะครอบงำโลกของดอลลาร์
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของธนาคารกลางต่างๆ, ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินยูโรถูกใช้ไปในการซื้อขายสินค้าและบริการมากน้อยเพียงใด
และไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีประเทศ นอกยูโรแลนด์มากน้อยแค่ไหนเลือกที่จะตรึงค่าเงินของพวกเขากับเงินยูโร
หากแต่น่าจะขึ้นอยู่ที่ตลาดพันธบัตรรัฐบาลของชาติยุโรป ว่ามีการผนวกรวม ตัวและเติบใหญ่ขยายตัวไปได้รวดเร็วเพียงใด
ปัจจุบันนี้ การซื้อขายในตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จะมีต้นทุนต่ำกว่าในตลาดพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนี
อังกฤษ หรือฝรั่งเศสอยู่ ทั้งนี้ก็เนื่องจากปริมาณการซื้อขายพันธบัตรคลังสหรัฐฯ
นั้นมากมายมโหฬารกว่านั่นเอง
แต่ "ยิ่งยูโรแลนด์ผนวกรวมตลาดพันธบัตรรัฐบาลของพวกเขาเข้าด้วยกันได้มากเท่าไร
ต้นทุนการดำเนินงานในตลาดเหล่านี้ก็จะยิ่งลดลงไปเท่านั้น และจากนั้นผู้คนจำนวนมากขึ้นๆ
ก็จะต้องการมาดำเนินการในตลาดทางยุโรป" ศาสตราจารย์พอร์เตสให้ความเห็น
"เสน่ห์ดึงดูดที่มากกว่าของนิวยอร์กเมื่อเปรียบเทียบกับของยูโรแลนด์ก็จะหดหายไป"
เขาทำนายว่า ยิ่งถ้าอังกฤษเข้าร่วมสหภาพการเงินยุโรป ซึ่งเขาคาดหมายว่าอังกฤษจะเข้าร่วมแน่ๆ
"เราก็จะเห็นบทบาทการเป็นเงินตราระหว่างประเทศของดอลลาร์สหรัฐฯ ถูกท้าทายอย่างรุนแรงภายในเวลาไม่เกิน
5 ปี"
ดอลลาร์ดายฮาร์ด
แต่นักเศรษฐศาสตร์จำนวนหนึ่ง ติงด้วยความรอบคอบว่า การโค่นดอลลาร์ลงจากบัลลังก์นั้นไม่ใช่เรื่องทำได้ง่ายๆ
แม้การใช้เงินสกุลหนึ่งเดียวในยูโรแลนด์ จะหมายถึงการก่อตั้งตลาดตราสารหนี้สกุลเงินยูโร
มูลค่ากว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์ขึ้นมาได้อย่างอัตโนมัติ โดยที่ว่าประมาณครึ่งหนึ่งของจำนวนดังกล่าวจะเป็นพันธบัตรรัฐบาลก็ตาม
แต่ก็คงไม่มีสภาพคล่องระดับใกล้เคียง กับที่ปรากฏอยู่แล้วในพันธบัตรคลังของสหรัฐฯ
นั่นเป็นความเห็นของ แลรี่ นีล ศาสตราจารย์วิชาเศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์
วิทยาเขตเออร์บานา-แชมเปญ ซึ่งชี้ว่าเงินยูโรยังจะไม่สามารถท้าทายดอลลาร์
เพื่อขึ้นเป็นเงินตราในทุนสำรองได้
ศาสตราจารย์นีลชี้ว่า ถึงแม้ เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี และอีก 8 ชาติจะออกตราสารหนี้ในสกุลเงินร่วม
แต่ยูโรแลนด์ก็ยังคงขาดลักษณะสำคัญยิ่ง ซึ่งเป็นจุดเด่นของตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ
นั่นคือ การที่มีรัฐบาลกลางเพียงรัฐบาลเดียว ทำหน้าที่ขายตั๋วเงินและพันธบัตรปริมาณมหาศาล
ทั้งนี้ ตลาดพันธบัตรรัฐบาลของยูโรแลนด์จะประกอบด้วยรัฐอธิปไตย 11 แห่ง ซึ่งแต่ละแห่งสามารถขายตั๋วเงินและพันธบัตรในปริมาณที่น้อยกว่าของสหรัฐฯ
นักหนา แล้วแถมแต่ละแห่งยังแข่งขันกันดึงดูดนักลงทุนเสียอีกด้วย
แม้บางคนจะชี้ว่าพันธบัตรของสหรัฐฯ จำนวนไม่น้อยก็ออกโดยรัฐบาลท้องถิ่นในมลรัฐทั้ง
50 มลรัฐ แต่ศาสตราจารย์นีลชี้ว่า พันธบัตรของมลรัฐไม่ได้ถูกใช้เป็นทรัพย์สินสำรองโดยธนาคารกลาง
(ต่างชาติ) หรือโดยองค์การพหุภาคี เขาจึงฟันธงไว้ว่า หากต้องการทรัพย์สินสำรองที่ปลอดภัยแล้ว
ยังต้องเป็นตั๋วเงินและพันธบัตรคลังสหรัฐฯ อยู่นั่นเอง
เหตุผลสำคัญระยะยาวประการ หนึ่งในการถือครองทรัพย์สินสำรองเอาไว้คือ เพื่อให้สามารถตอบโต้ได้อย่างรวดเร็ว
ในกรณีที่เกิดภาวะปั่นป่วนอย่างกะทันหันในทางเศรษฐกิจ หรือทางการเมือง "นั่นหมายความว่าคุณต้องสามารถเปลี่ยนทรัพย์สินของคุณได้อย่างรวดเร็ว
และโดยไม่เกิดการขาดทุนเสียหาย การที่จะเป็นเช่นนั้นได้ คุณย่อมต้องการทรัพย์สินทางการเงินที่ตลาดมีสภาพคล่องสูงสุด"
ศาสตราจารย์นีลกล่าว และยกตัวอย่างว่า
สมมุติว่าญี่ปุ่นเกิดต้องขายทันที ทั้งพันธบัตรคลังสหรัฐฯ และพันธบัตรรัฐบาลเยอรมัน
สกุลเงินยูโรทิ่เขาถือครองเป็นทุนสำรองอยู่ ราคาที่ตกลงมาของพันธบัตรเยอรมันจะต้องสูงกว่าของพันธบัตรคลังสหรัฐฯ
แยะทีเดียว ทั้งนี้ ศาสตราจารย์นีลอธิบายว่า เป็นเพราะปริมาณของพันธบัตรเยอรมันที่ออกมาในตลาดนั้นมีจำนวนน้อยกว่ามาก
สภาพคล่องสูงของตลาดพันธ บัตรสหรัฐฯ มีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ อเล็กซานเดอร์
แฮมิลตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนแรกของอเมริกา ในปี 1790 แฮมิลตันได้สร้างตลาดตราสารหนี้อันมีขนาดใหญ่โตกว้างขวางของสหรัฐฯ
ขึ้นมา ด้วยการให้รัฐบาลกลางเป็นผู้รับผิดชอบหนี้สินของแต่ละมลรัฐ รวมทั้งพวกที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามปฏิวัติปลดแอกจากอังกฤษด้วย
สำหรับยูโรแลนด์แล้วไม่ได้มีแผนการปล่อยเงินให้แบบนี้ แต่ละประเทศยังคงต้องหนุนหลังพันธบัตรของตัวเอง
ทว่ากลับไม่มีอำนาจที่จะพิมพ์ธนบัตรอีกแล้ว ขณะที่สหรัฐฯ ยังมีอำนาจนี้อยู่เต็มเปี่ยม
ด้วยสภาพเช่นนี้เอง จึงมีเสียงคาดหมายกันว่า ตราสารหนี้ของรัฐสมาชิกบางรายในสหภาพ
การเงินยุโรป มีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นเศษกระดาษมากมายกว่าตราสารหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ
ปัจจัยอื่นๆ ที่อาจจะบั่นทอนความกระตือรือร้นต่อการถือเงินยูโร ยังมีในมิติอื่นอีก
อาทิ แนวโน้มที่ผู้คนจะชื่นชมนโยบายเงินเฟ้อต่ำน้อยลงไป ถ้าอัตราการว่างงานยังคงสูงลิ่ว,
ความเป็นไปได้ที่จะเกิดการพิพาทเชิงนโยบายระหว่างประเทศสมาชิกสหภาพการเงินยุโรป,
อันตรายที่สหภาพการเงินยุโรป อาจแตกเป็นเสี่ยง หากความแตกต่างของนโยบายเหล่านี้กลายเป็นสิ่งที่ประนีประนอมกันไม่ได้
ยิ่งกว่านั้น นักเศรษฐศาสตร์บางคนโต้แย้งว่า ฐานะการเป็นเครื่องมือทางการเงินซึ่งเป็นที่ไว้วางใจยิ่งกว่าเงินตราสกุลอื่นใดของดอลลาร์นั้น
ยังสัมพันธ์อยู่กับฐานะการเป็นอภิมหาอำนาจในทางการเมืองและการทหารของสหรัฐฯ
อีกด้วย โดยที่สิ่งนี้ทางยุโรปไม่อาจอวดอ้างทาบรัศมีได้เลย นั่นคือทัศนะของคิต
จุคส์ นักยุทธศาสตร์ค้าเงินตรา แห่ง แนตเวสต์ โกลบอล ไฟแนนเชียล มาร์เก็ตส์
ในกรุงลอนดอน ซึ่งกล่าวว่า "การที่ยูโรจะแข่งขันกับดอลลาร์เพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนทั่วโลกนั้น
ยูโรแลนด์จะต้องค่อยๆ เปลี่ยนตัวเองเป็นมหาอำนาจทางการเมืองที่มีความเป็นเอกภาพกัน"
ด้านศาสตราจารย์นีลยอมรับว่า เงินยูโรจะเป็นประโยชน์แก่พวกนักเดิน ทางและบริษัทซึ่งทำธุรกิจอยู่ในยุโรป
เพราะจะลดต้นทุนในการทำธุรกิจและทำให้การใช้ชีวิตยุ่งยากน้อยลงมาก แต่สำหรับผลประโยชน์อย่างอื่นๆ
ของการ รวมตัวเป็นสหภาพทางการเงินแล้ว เขายังข้องใจว่ามีอยู่จริงหรือไม่
"มันเป็น การทดลองขนาดใหญ่โตมโหฬารมาก และคนยุโรปคิดว่ามันจะทำให้พวกเขามีความได้เปรียบขึ้นมาก
ในแง่ของการได้ต้นทุนเงินทุนซึ่งถูกลง แต่ผมเชื่อว่าพวกเขาจะต้องผิดหวัง"
นีลฟันธงไว้อย่างนั้น
นักเศรษฐศาสตร์หลายคนสนับ สนุนทัศนะนี้ โดยชี้ว่าฐานะครอบงำโลกของดอลลาร์สามารถฟันฝ่าภัยคุกคาม
ทำนองเดียวกันนี้มาได้หลายระลอกแล้วในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา และก็ไม่น่าที่จะยอมแพ้ไปง่ายๆ
ในคราวนี้ ตัวอย่างเช่น ฌอง-ฟรองซัวส์ เมร์ซิเอร์ นักเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศแห่ง
ซาโลมอน สมิธ บาร์นีย์ ในลอนดอน กล่าวว่า ถึงแม้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นจะเติบโตอย่างเป็นเนื้อเป็นหนังในช่วงระหว่างทศวรรษ
1960 จนถึงปลายทศวรรษ 1980 แต่การศึกษาวิจัยต่าง ๆ กลับแสดงให้เห็นว่า ไม่ได้มีการใช้เงินเยนเป็นเงินตราในการทำธุรกิจหรือในการเป็นทุนสำรองเพิ่มขึ้นตามส่วนเลย
ดอลลาร์จึงยังคงครอบงำโลกอยู่ในทุกวันนี้
เหตุผลหนึ่งคือเพราะชาติเอเชียจำนวนมาก ตรึงค่าเงินของพวกเขาไว้กับดอลลาร์
และอีกเหตุผลหนึ่งนั้นเป็นเรื่องของแรงเฉื่อยโดยแท้ เมื่อการใช้เงินดอลลาร์กลายเป็นนิสัยและความเคยชิน
ผู้คนและสถาบันต่างๆ ก็มีแนวโน้มที่จะใช้ดอลลาร์เป็นทุนสำรองกันต่อไป เกรก
เจนเสน หุ้นส่วนคนหนึ่งของ บริดจ์วอเตอร์ แอสโซซิเอตส์ ซึ่งเป็นบริษัทบริหารเงินที่อยู่ในเมืองวิลตัน
มลรัฐคอนเนกติกัต สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า 50% ของการหมุนเวียนทางการค้าในโลก
จะกำหนดมูลค่ากันเป็นดอลลาร์ หรือเกือบเป็น 3 เท่าของส่วนแบ่งในการค้าโลกของสหรัฐฯ
เอง นอกจากนั้นทุนสำรองของธนาคารกลางชาติต่างๆ ก็เป็นสกุลดอลลาร์เสียประมาณ
64% โดยที่ตัวเลขนี้ค่อนข้างคงที่มาได้สิบกว่าปีแล้ว
เมร์ซิเอร์แห่ง ซาโลมอน สมิธ บาร์นีย์ ไม่คิดว่าธนาคารกลางต่างชาติ จะเปลี่ยนไปถือทุนสำรองเป็นเงินยูโร
อะไรกันมากมายในระยะใกล้ๆ นี้ ธนาคารกลางนอกสหภาพยุโรปจำนวนมาก น่าจะต้องการรอดูไปสักระยะหนึ่ง
ก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนทุนสำรองของตัวเอง เป็นสกุลเงินใหม่ ยิ่งกว่านั้นแล้ว
บางประเทศเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางแถบเอเชีย ยังไม่ได้มีสายสัมพันธ์ทางการค้าอันแข็งขันกับทางยุโรปอีกด้วย
ดังที่เมร์ซิเอร์ตั้งคำถามว่า "ทำไมสำนักงานการเงินสิงคโปร์ (ซึ่งทำหน้าที่เสมือนเป็นธนาคารกลางของสิงคโปร์)
จึงจะต้องการถือเงินยูโรเป็นสัดส่วนมากขึ้นล่ะ ถ้าหากโครงสร้างการค้าระหว่างประเทศของสิงคโปร์
(ซึ่งเป็นการค้ากับสหรัฐฯ และเอเชียเสียส่วนใหญ่) ยังมิได้มีการเปลี่ยนแปลงในชั่วข้ามคืน"
สำหรับนักลงทุนปัจเจกบุคคล กองทุนบำนาญ กองทุนรวม และบริษัท ประกันภัยทั้งหลายแล้ว
การที่จะหันไปถือทรัพย์สินสกุลยูโรกันมากน้อยแค่ไหน ไปๆ มาๆ ก็ขึ้นอยู่กับผลประกอบการของทรัพย์สินเหล่านี้เองมากกว่า
"หากเงินยูโรไม่สามารถทำให้ผลประกอบการของทรัพย์สินในยุโรปพลิกผันดีขึ้นค่อนข้างมากแล้ว
คุณก็ไม่ต้องคาดหวังเลยว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันในการลงทุนของพวกนักลงทุนภาคเอกชน
สู่อาณาบริเวณเฉพาะใดๆ" เมร์ซิเอร์กล่าว
จุคส์แห่งแนตเวสต์กล่าวว่า การที่อเมริกายังคงขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างมโหฬาร
โดยนักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากคาดหมายว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 200,000 ล้านดอลลาร์
ในปีนี้ จาก 155,000 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้วนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นคุณูปการต่อฐานะของดอลลาร์
ในการเป็นเงินตราซึ่งถูกใช้เป็นทุนสำรองกันอย่างกว้างขวาง เขาอธิบายแนวความคิดของเขาว่า
เมื่อคนอเมริกันยังคงซื้อสินค้ามากกว่าที่พวกเขาขายให้แก่ชาวต่างชาติ ทั่วโลกก็มีเงินดอลลาร์ท่วมท้นไปหมด
บรรดาธนาคารกลางนั้น "นำสิ่งที่พวกเขาได้รับมาเก็บไว้เป็นทุนสำรอง ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องเลือกมาเก็บ"
จุคส์กล่าว แต่สำหรับยูโรแลนด์แล้วเนื่องจากส่งออกมากกว่านำเข้า พวกเขาได้เปรียบดุลบัญชีเดินสะพัด
ดังนั้นจึงอยู่ในสถานการณ์ที่ตรงกันข้าม
แน่นอนที่ผู้เชี่ยวชาญบางคนกลับรู้สึกว่า ปัญหาเกี่ยวกับฐานะครอบงำของเงินตราที่พูดกันนี้
เป็นการพูดกันแบบเกินเลยเสียทั้งสิ้น จอห์น ลีเวลลีน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ซึ่งรับผิดชอบการวิเคราะห์เศรษฐกิจระดับโลก
แห่ง เลแมน บราเธอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ในลอนดอน บอกว่า การที่ชาติหนึ่งชาติใดจะสามารถใช้สกุลเงินตราของตัวเอง
มาอุดการขาดบัญชีเดินสะพัดนั้น เป็นเรื่องที่มีความสำคัญน้อยลงไปมากเสียแล้วในยุคปัจจุบัน
ซึ่งประเทศเศรษฐกิจใหญ่ๆ ต่างกำลังใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบปล่อยลอยตัวกันอยู่
ไม่เหมือนกับที่ยังเป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนตายตัว ซึ่งล่มสลายไปในตอนต้นทศวรรษ
1970
"สิ่งที่คุณแม่ของคุณต้องการก็คือ เงินของเธอจะต้องรักษาค่าของมันไว้ได้เมื่อเปรียบเทียบกันทั้งโลก
และเธอจะต้องสามารถได้รับอัตราผลตอบแทนที่สมเหตุสมผล ลีเวลลีนบอก "ในแง่นี้แล้ว
หากเธออยู่ในยุโรป เธอต้องเป็นห่วงแน่ว่าเงินยูโรแข็งแรงหรือเปล่า แต่แข็งแรงนี้ไม่ได้แปลว่าต้องมีฐานะครอบงำ
เอาเพียงแค่ว่าสามารถดำรงค่าของมันไว้ได้ก็พอแล้ว"