เทคโนโลยีในยุค 3G ของอีริคสัน แม้ในปัจจุบันยังไม่ สามารถใช้งานในเชิงพาณิชย์ได้พร้อม
จนกว่าจะถึงปีค.ศ. 2001 ซึ่งอีริคสันร่วมมือกับบริษัท NTT ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเซลลูลาร์รายใหญ่ในญี่ปุ่น
เป็นผู้พัฒนาเพื่อการใช้งานในเชิงพาณิชย์ในตลาดญี่ปุ่น แต่อีริคสันก็เริ่มแผนการตลาดด้วยการให้ข้อมูลลูกค้าทั้งในระดับ
operator และ end user หรือผู้ใช้บริการรายย่อย ให้ทราบถึงวิวัฒนาการใหม่ล่าสุดที่จะเกิดขึ้นเต็มที่ในศตวรรษหน้า
ซึ่งถือเป็นยุคที่ 3 ของการสื่อสารไร้สาย
การสื่อสารโทรคมนาคมในยุคที่สามหรือ 3G ของอีริคสันนั้นหมายความถึงการสื่อสารขณะเคลื่อนที่และความ
สามารถในการเข้าสู่ข้อมูลที่รวดเร็วและมากยิ่งขึ้น (ทั้งนี้ยุคแรก คือการสื่อสารไร้สาย
ยุคที่สองคือการแนะนำระบบดิจิตอล)
การสื่อสารด้วยโทรศัพท์มือถือมีความนิยมแพร่หลาย อย่างรวดเร็วมาก และมีการคาดหมายว่าในปี
ค.ศ. 2003 ผู้ใช้โทรศัทพ์มือถือทั่วโลกจะมีจำนวนถึง 830 ล้านคนความ ต้องการสื่อสารไร้สายที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นที่มาของความต้องการที่จะได้มากกว่าเสียง
แต่ยังเพิ่มเรื่องข้อมูลและภาพที่เคลื่อน ไหวได้ด้วย นี่คือแนวโน้มสำคัญของยุคข้อมูลข่าวสาร
อีริคสันกำลังพัฒนาบริการสื่อสารไร้สายในยุคที่ 3 ที่จะอำนวยให้ผู้ใช้บริการสามารถใช้
applications ใหม่ๆ ทุกประเภทได้บนเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ แอพพลิเคชั่นส์เหล่านี้ได้แก่
เสียง ข้อมูลและการสื่อสารทางวิดีโอ รวมทั้งการเข้าสู่ข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต
บริการเหล่านี้ใช้ความเร็วสูงถึง 2 Mbps
การสื่อสารยุคที่ 2 หรือที่มีใช้อยู่ในปัจจุบันได้วางรากฐานอย่างดีแก่การพัฒนาสู่ยุคที่
3 คือมีการวางเครือข่ายของระบบ GSM, D-AMPS และ PDC นอกจากนี้อีริคสันก็มีการพัฒนาระบบใหม่อีกอันหนึ่งที่จะนำเข้าสู่เทคโนโลยี
ใหม่ที่ว่าโดยไม่ต้องผ่านเครือข่ายปัจจุบันก็ได้ นั่นคือระบบ Wideband CDMA
หรือ WCDMA ซึ่งเป็นมาตรฐานด้าน air interface ใหม่
ในการพัฒนา GSM ไปสู่บริการมัลติมีเดียไร้สายยุคที่ 3 นั้นมี 2 แนวทางเลือกคือ
ใช้เทคโนโลยี Enhanced Data Rates for GSM Evolution (EDGE) หรือใช้เทคโนโลยี
WCDMA ซึ่งได้รับการออกแบบขึ้นเพื่อใช้กับโครงข่าย GSM การนำเทคโนโลยีนี้มาใช้จึงลงทุนน้อยมาก
เพราะสถานีระบบ GSM และอุปกรณ์ต่างๆ สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้นั่นเอง
ส่วนการพัฒนา D-AMPS ไปสู่บริการมัลติมีเดียยุคที่ 3 ขั้นแรกต้องใช้เทคนิคการผสมสัญญาณที่ซับซ้อนเพื่อเพิ่มอัตราการรองรับข้อมูลที่ความถี่
30 kHZ ให้มีความเร็ว ในการรับส่งข้อมูลสูงถึง 64 kbps และมีการปรับปรุงคุณภาพเสียงให้ดียิ่งขึ้น
ขั้นต่อมาต้องใช้ 136 HS เป็น air interface เพื่อตอบสนองความต้องการด้านการรับ-ส่งข้อมูล
ความเร็วสูงของ IMT-2000 ทั้งนี้ 136HS ใช้เทคโนโลยีพื้นฐานเดียวกับ EDGE
ของระบบ GSM จึงเท่ากับเป็น การสร้างเทคโนโลยีร่วมกันของระบบ World Phone
ที่แท้จริง ขั้นถัดมาคือการนำมาตรฐานด้าน air interface ใหม่ของ WCDMA ไปดำเนินการบนโครงข่ายหลัก
IS-41 D-AMPS/AMPS
GSM เป็นมาตรฐานสื่อสารไร้สายดิจิตอลที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดทั่วโลก
มีผู้ใช้ระบบนี้มากกว่า 100 ล้าน รายในกว่า 250 ระบบใน 110 ประเทศของทุกทวีป
โดยผู้ใช้ระบบ GSM จำนวน 40% ในเกือบ 70 ประเทศใช้ระบบ GSM ที่อีริคสันเป็นผู้ติดตั้ง
ส่วนผู้ใช้ระบบ D-AMPS/AMPS มีจำนวนราว 80 ล้านคนทั่วโลก
สำหรับการพัฒนาสู่ยุค 3G ในประเทศไทยนั้น ยังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าที่จะมีการพัฒนาและใช้งานในเชิงพาณิชย์ได้
และขั้นตอนการพัฒนาแต่ละขั้นจะเริ่มนำเข้ามาดำเนินการ ซึ่ง มร.ยอน เคมวอลล์-ประธานบริหาร
บริษัท อีริคสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าในขั้นแรกนั้นทางการ ต้องพิจารณาเลือก
operator ก่อนและดูว่าจะพัฒนาการไปสู่ 3G ด้วยวิธีใด
ขณะนี้องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ไปศึกษางานกับ
NTT Docomo ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ NTT ในญี่ปุ่นซึ่งกำลังพัฒนาการไปสู่ยุค
3G จากระบบ PDC ที่ใช้เฉพาะในญี่ปุ่น และอีริคสันได้ช่วยให้ข้อมูลแก่องค์การฯ
ด้วย นอกจากนี้เจ้าหน้าที่องค์การฯ ได้ไปชมอุปกรณ์และฟังการบรรยายเรื่องนี้ที่สำนักงานใหญ่อีริคสันในสวีเดน
สำหรับ operator รายใหญ่ในไทย 2 รายคือ ชินวัตร (SHIN) และยูคอมโดยบริษัทลูกคือ
TAC นั้น ก็อยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลว่า การพัฒนาแนวทางใดที่จะได้ประสิทธิภาพสูงสุด
ครอบคลุมบริการต่างๆ มากที่สุดด้วยการลงทุนต่ำสุด โดย TAC มี 2 ทางเลือกคือพัฒนา
AMPS 800 สู่ D-AMPS สู่ 3G หรือ GSM 1800 สู่ 3G ส่วน SHIN มีทางเลือกเดียวคือพัฒนา
GSM สู่ 3G
นอกจากการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่สุดเพื่อเข้าสู่โลกการสื่อสารไร้สายยุคที่
3 แล้ว ล่าสุดอีริคสันได้มีการจัดโครงสร้างองค์กรใหม่ โดยเน้นเรื่อง local
priority และการกระจายอำนาจสู่ภูมิภาค (decentralize) เป็นการมุ่งให้ ความสำคัญต่อตลาดและลูกค้าเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้อีริคสันได้แบ่งธุรกิจหลักออกเป็น 3 ส่วนคือ ด้านโครงข่ายสำหรับผู้ให้บริการ
ด้านผลิตภัณฑ์ผู้บริโภคและ ด้านผลิตภัณฑ์และบริการสำหรับระบบองค์กรรัฐวิสาหกิจใน
ธุรกิจหลักทั้งสามจะมีการกระจายความรับผิดชอบไปยังหน่วย ธุรกิจที่มีขนาดเล็กกว่า
ส่วนการตัดสินใจทางด้านกลยุทธ์คณะผู้บริหารจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง คณะผู้บริหารจะประจำอยู่ที่สำนักงานใหญ่ในสวีเดนและในภูมิภาคต่างๆ
อีก 4 แห่ง
ในเอเชียและโอเชียเนียนั้น ผู้บริหารสูงสุดคือ มร. เคิร์ท เฮลสตรอม รองประธานบริหารภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย
ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้กำหนดแน่ชัดว่าสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคจะอยู่ที่ใดแน่
แต่คาดว่าน่าจะเป็นที่ฮ่องกง
มร.ยอนกล่าวถึงการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคม
2542 นั้น ว่า "มันมีผลกระทบต่อการทำงานในไทยในทางอ้อม เพราะเรามีโครงสร้างที่ใช้งานได้อยู่แล้ว
แต่เราก็จะได้รับการสนับสนุนทางการตลาดจากโครงสร้างใหม่ เราหวังว่าจะได้รับการหนุนช่วยโดยตรงและเพิ่มมากขึ้นจากหน่วยงานใหม่ที่จัดตั้งขึ้น
รวมทั้งมีการสื่อสารสองทางอย่างใกล้ชิดและรวดเร็ว นอกจากนี้ก็คาดว่าจะเพิ่มการสนับสนุนในการขยายไปในธุรกิจใหม่ๆที่เราดำเนินการอยู่
เช่น เรื่อง IT technology และ โครงสร้างใหม่จะมีผลกระทบอย่างมากต่อการจัดการฝึกอบรม
เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญมากในเวลานี้"
เขาเห็นว่าจุดสำคัญอย่างหนึ่งในการปรับโครงสร้างครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นการปรับครั้งใหญ่สุดของอีริคสันนั้นก็คือ
"การรายงานที่เคยขึ้นตรงต่อสำนักงานใหญ่ที่สวีเดนนั้น ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นรายงานในแต่ละภูมิภาคที่แบ่งออกเป็น
4 ภาคตามโครงสร้างใหม่ และสำหรับภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนียนั้น ตอนนี้ยังไม่ได้กำหนดว่ารองประธานบริหารจะนั่งที่ไหน
แต่ผมเดาว่าคงเป็นที่ฮ่องกงเพื่อดูแลตลาดจีนและญี่ปุ่นที่ใหญ่มากนั่นเอง"
ด้านผลประกอบการของอีริคสันทั่วโลกในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2541 มียอดขายสุทธิ
125.4 ล้านสวีดิชโครน หรือ 626,980 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ตลาดในเอเชียที่ยังคงมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องและเป็นตลาดที่ใหญ่คือจีน
ซึ่งยอดขายรวมในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้น 9% แต่หากไม่นับรวมตลาดจีน ยอดขายในเอเชียกลับลดลงถึง
29%
มร.ยอนกล่าวว่าตลาดจีนในตอนนี้มีมูลค่าประมาณ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด
ส่วนตลาดที่รองลงมาคือตลาดญี่ปุ่น ซึ่งตอนนี้มีอัตราการเติบโตที่ต่ำมาก
ส่วนตลาดไทยนั้น มีอัตราการเติบโตที่ขึ้นลงอยู่ระหว่างอันดับที่ 12-18
ของตลาดทั่วโลก แต่ในปีนี้คาดว่าจะตกมาอยู่ในระดับ 15-20 เพราะอัตราค่าเงินบาทอ่อนลง
เขาคาดหมายยอดขายปีนี้ในไทยจะอยู่ในระดับประมาณ 6,000 ล้านบาท เทียบกับปีที่แล้วที่มีระดับใกล้
10,000 ล้านบาทซึ่งเป็นยอดรายได้ที่สูงที่สุดของอีริคสันในไทยที่ทำได้ แต่ปีนี้ยอดขายลดลง
ทั้งในตลาดมือถือและตลาดอุปกรณ์โทรคมนาคม ตัวเลขยอดขายที่ประมาณการนี้กลับไปอยู่ในระดับเดียวกับยอดขายเมื่อปี
2539 หรือลดลงประมาณ 20%
มร.ยอนกล่าวว่า "แต่ผมคาดว่าตัวเลขในปี 2542 น่า จะดีกว่าปีนี้เพราะผมเห็นว่าเศรษฐกิจเริ่มจะฟื้นตัวแล้ว
โดยเฉพาะที่เราคาดหมายว่าครึ่งปีหลังเศรษฐกิจจะฟื้นตัวแล้ว แต่นี่ก็เป็นเรื่องการคาดหมายเท่านั้น
เราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่อง ตัวเลขที่แท้จริง"
นอกจากนี้ มร.ยอนกล่าวถึงมาตรการปรับปรุงการดำเนินงานอย่างหนึ่ง ที่อีริคสันใช้รับมือกับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ
ไทยช่วงนี้คือ การส่งคนงานไปทำงานในต่างประเทศ ตอนนี้อีริคสันส่งพนักงาน
60 คนไปทำงานในต่างประเทศ โดยมีจำนวน 30-40 คนไปทำงานในจีน และที่อื่นๆ นอกจากนี้ก็ลดพนักงานต่างชาติ
(expatriate) ลงจำนวนมาก แม้จะลด พนักงานลงด้วยวิธีนี้ แต่ก็มีการเพิ่มการฝึกอบรมมากขึ้นเพื่อรองรับสถานการณ์เมื่อเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติ
มร.ยอนกล่าาวว่า "ตอนนี้เราขยายงานด้วยการขยาย ความรู้ มากกว่าที่จะขยายหรือเพิ่มจำนวนคน"