Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ธันวาคม 2541








 
นิตยสารผู้จัดการ ธันวาคม 2541
ต้อนแบงก์พาณิชย์เข้าแผนฟื้นฟู 14 สิงหาฯ             
 





หลังจากคอลัมน์นี้ตีพิมพ์ความเห็นของนักวิชาการหลายท่านที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ "แผนฟื้นฟูระบบสถาบันการเงิน 14 สิงหาฯ" ปรากฎว่าในจังหวะเดียวกันความคืบหน้าในเรื่องนี้ก็มีขึ้นมาบ้า งเมื่อธนาคารพาณิชย์หลายแห่งขยับตัวออกหุ้นกู้กันเป็นแถว เพื่อที่จะหาเงินมาเพิ่มในส่วนของกองทุนขั้นที่ 2

ประเดิมด้วยธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิ์มาเป็นจำนวน 6,000 ล้านบาทแล้ว โดยออกมา 2 ล็อตและพบว่าขายดีมาก ถัดมาเป็นธนาคารกรุงศรีอยุธยามูลค่า 4,000 ล้านบาท และธนาคารทหารไทยมูลค่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งสองธนาคารหลังนี้ก็มีแผนที่จะออกเพิ่มอีกรายละ 1,000 ล้านบาท

ในการขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิ์เหล่านี้มีข้อสังเกตว่า แต่ละธนาคารเสนออัตราดอกเบี้ยที่จูงใจอย่างมากต่อผู้ลงทุน โดยให้พรีเมียมสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำถึง 4% ซึ่งนับเป็นตัวเลขที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุนในตราสารเวลานี้ โดยมีข้อแม้ว่าหากระบบสถาบันการเงินไทยมีความมั่นคงมากจริง

นั่นเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามที่จะช่วยเหลือตัวเองของธนาคารพาณิชย์ แต่กระนั้น หากยอมรับความจริงกันแล้ว ก็คงจะรู้ว่าธนาคารแต่ละแห่งนั้นต้องการเงินเพิ่มทุนในกองทุนชั้นที่ 1 มากกว่านี้ (กระทรวงการคลังและแบงก์ชาติกำหนดวงเงิน ที่จะให้ความช่วยเหลือระบบสถาบันการเงินไว้เป็นจำนวน 300,000 ล้านบาท ซึ่งนักวิชาการหลายท่านก็เคยกล่าวว่า "ไม่น่าจะพอเพียง")

ธนาคารพาณิชย์บางแห่งก็มีความพยายามมากขึ้น ในการที่จะหากลวิธีออกแบบตราสารหรือกลไกในการระดมเงินในรูปแบบต่างๆ เพื่อที่จะหาเงินมาเข้ากองทุนขั้นที่ 1 โดยไว เช่น ธนาคารกสิกรไทยและธนาคารกรุงเทพกำลังพิจารณาปรึกษาเรื่องการจัดตั้ง SPV และ SLIP เป็นบริษัทต่างหากที่แบงก์ถือหุ้นและเอาไปออกตราสารการเงินระดมเงินจากต่างประเทศ แต่เรื่องนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาแง่มุมทางกฎหมายว่าเปิดช่องให้ทำได้หรือไม่

ทั้งนี้แนวทางแผนฟื้นฟูระบบสถาบันการเงิน 14 สิงหาคมนั้นว่าไปแล้วก็เป็นกรอบกว้างๆ ที่ต้องการรายละเอียดในการปฏิบัติดำเนินการอีกมาก ซึ่งธนาคารพาณิชย์เองก็ต้องสอบถามจากพนัส สิมะเสถียร ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (กปส.) และศิวะพร ทรรทรานนท์ กรรมการ กปส.

พนัสตั้งข้อสังเกตไว้ครั้งหนึ่งว่าโครงการช่วยเหลือเรื่องเงินกองทุนชั้นที่ 1 นั้นมีกฎปฏิบัติที่เข้มงวดเกินไป แต่กปส.ก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาตรการหรือหลักเกณฑ์ใดในแนวทางนั้น ตอนนี้อยู่ในขั้นเชิญนายแบงก์มาทำความเข้าใจ

นอกจากนี้ ศิวะพรก็เริ่มให้คำอธิบายขึ้นมาบ้างว่าแนวทาง 14 สิงหาฯ นั้นเริ่มมีการตีความและทำรายละเอียดเสร็จไปแล้วกว่า 70%-80% ส่วนที่เหลือยังต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ดี เวลาที่ผ่านไป 3 เดือนแล้วยังไม่มีสิ่งใดคืบหน้านั้นเป็นเหตุให้ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการแบงก์ชาติ เริ่มมีการเร่งรัดให้เกิดการเพิ่มทุนของธนาคารพาณิชย์โดยเร็ว โดยมีการเรียกผู้บริหารธนาคารฯ มาหารือเมื่อปลายเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา แม้ว่าก่อนหน้านั้น รองผู้ว่าฯ กิตติ พัฒนพงศ์พิบูลย์ ก็ดำเนินการในเรื่องนี้อยู่ทั้งคน

หนำซ้ำก่อนหน้านั้นเล็กน้อย รมต.ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ ก็เริ่มส่งสัญญาณว่าต้องมีการดำเนินการในเรื่องนี้ให้รวดเร็วขึ้น เหตุของเรื่องทั้งหมดก็เพราะการเพิ่มทุนของธนาคารฯทำได้ช้าจริงๆ เวลาที่ผ่านไป 3 เดือนมีความคืบหน้าน้อยมาก แม้จะมีการดำเนินการออกหุ้นกู้เพื่อเพิ่มทุนในกองทุนชั้นที่ 2 แต่จุดสำคัญนั้นเป็นกองทุนชั้นที่ 1 ซึ่งต้องเป็นเงินสดเข้ามามากกว่า

เหตุอีกประการหนึ่งคือใน LOI ฉบับที่ 5 มีการกำหนดว่า ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งต้องมาลงนามในบันทึกความเข้าใจกับแบงก์ชาติ เรื่องการเพิ่มทุนครั้งใหม่ภายใน 31 มกราคม 2542 เพราะรายละเอียดในการเพิ่มทุนของธนาคารพาณิชย์ต้องมีการกำหนดลงไปในการลงนาม LOI 6 ด้วย

ผู้ว่าแบงก์ชาติยังประกาศออกมาอย่างชัดเจนว่า จุดยืนของแบงก์ชาติในเรื่องนี้คือธนาคารพาณิชย์ต้องมีทุนเพียงพอที่จะอยู่รอดต่อไปได้ ซึ่งถ้าธนาคารไม่เข้าโครงการช่วยเหลือเพิ่มเงินกองทุน แต่สามารถอยู่รอดต่อไปได้ หรือเข้าโครงการช่วยเหลือเพิ่มเงินกองทุนของทางการแล้วรอดได้ แบงก์ชาติก็ไม่ว่าและไม่ดำเนินการอะไร

แต่หากธนาคารพาณิชย์ที่มีปัญหา แล้วไม่ยอมเข้าโครงการช่วยเหลือเพิ่มเงินกองทุนของทางการ แบงก์ชาติจะดำเนินการเข้าแทรกแซงกิจการ ซึ่งเท่ากับว่าต้องมีการลดทุน เปลี่ยนผู้บริหาร และการดำเนินมาตรการอื่นๆ ตามที่ได้ประกาศออกไปแล้ว

การดำเนินมาตรการที่เคร่งครัดในครั้งนี้ไม่ทราบว่าจะมีความจริงจังมากน้อยเพียงใด และแบงก์ชาติหรือกระทรวงคลังคงไม่รีรอให้เรื่องสุกงอมไปมากกว่านี้ สถานะที่เข้มแข็งมั่นคงของแบงก์ในตอนนี้ก็มีแต่เรื่องการเพิ่มทุนให้สำเร็จและการลดตัวเลข NPL กับการตั้งสำรองหนี้สูญให้ได้ตามเกณฑ์แบงก์ชาติเท่านั้น ซึ่งทั้งสามประเด็นดูยังอึมครึม ไม่มีการเปิดเผยชัดเจน

ผู้ว่าแบงก์ชาติกล่าวว่ามาตรการที่มีอยู่ในเวลานี้เพียงพอที่จะใช้ดำเนินการได้แล้ว ฟังดูแล้วประหนึ่งจะบอกกับผู้บริหารธนาคารพาณิชย์ ให้ทราบว่าจะไม่มีการต่อรองในเรื่องเงื่อนไขต่างๆ ที่กำหนดไปแล้ว ตอนนี้จึงเท่ากับต้องรอดูว่าก่อนจะถึงสิ้นเดือนม.ค.ข้างหน้า ใครจะขยับตัวและมีทางออกก่อนกันในหมู่แบงก์พาณิชย์

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us