"เด็กๆ ให้ความรู้ผม" เป็นถ้อยความที่ส่อแสดงเค้าโครงความนึกคิดเบื้องลึกที่ชายในวัย
74 ปี แต่ยังแจ่มใส และเปี่ยมด้วยพลังสร้างสรรค์ อย่าง พารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา
บอกเล่ากับ "ผู้จัดการ" ถึงบทบาทใหม่ในฐานะนักการศึกษา ที่กำลังเร่งระดมสรรพกำลังจากหน่วยงานต่างๆ
เข้าร่วมผลักดันการปฏิรูปการศึกษาให้ปรากฏเป็นรูปธรรม
ตลอดระยะเวลากว่า 1-2 ทศวรรษที่ผ่านมา จนแม้กระทั่งในปัจจุบัน หากเอ่ยถึง
พารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา แน่นอนว่าผู้คนในแวดวงธุรกิจอุตสาหกรรมตลอดจนสังคมในวงกว้าง
ย่อมต้องนึกถึงนักอุตสาหกรรม ที่ประสบความสำเร็จในระดับ ตำนานอีกบทหนึ่งของสังคมไทย
ซึ่งดูเหมือนบทบาท และความสำเร็จในธุรกิจอุตสาหกรรมดังกล่าว ได้บดบังความสนใจด้านการศึกษา
ที่ชายผู้นี้ได้ให้ความสำคัญมาตลอดเวลาเนิ่นนาน ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขาดำรงตำแหน่งผู้บริหารกิจการ
ในเครือซิเมนต์ไทย
พารณ เกิดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2470 สำเร็จการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาจากวชิราวุธวิทยาลัย
และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ด้านวิศวกรรมไฟฟ้าและวิศวกรรมเครื่องกล
จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนที่ในปี 2497 จะสำเร็จปริญญาโทด้านวิศวกรรมเครื่องกล
จาก MIT
เขาเป็นพนักงานไทยรุ่นแรกๆ ที่ได้ผ่านองค์กรระดับโลกอย่างเชลล์ โดยเข้าร่วมงานในฐานะวิศวกรประจำฝ่ายปฏิบัติการกับบริษัทน้ำมันแห่งนี้ตั้งแต่ปี
2500 และดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายจัดหาและขนส่ง ซึ่งเป็นตำแหน่งสุดท้ายในเชลล์
ก่อนที่ในปี 2512 เขาจะเข้ามาเป็นกำลังสำคัญในเครือซิเมนต์ไทย พร้อมกับการแสดงบทบาทสำคัญและมีความหมายทางยุทธศาสตร์ขององค์กรในระยะเวลาต่อมา
โดยในปี 2514 พารณดำรงตำแหน่งเลขานุการคณะกรรมการพิจารณาปรับปรุง กิจการบริษัทในเครือซิเมนต์ไทย
ในปี 2518 เขาถูกยืมตัวไปเป็นผู้จัดการใหญ่ สยามคราฟท์ ก่อนที่เครือซิเมนต์ไทยจะเข้าครอบกิจการ
ซึ่งนับเป็นตำนานอีกบทหนึ่ง ของทั้งเครือซิเมนต์ไทยและวงการธุรกิจอุตสาหกรรมของไทยไปแล้ว
(วิรัตน์ แสงทองคำ, ยุทธศาสตร์ความใหญ่ เครือซิเมนต์ไทย 2543)
นอกจากนี้เขายังดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการระบบวิธีการและตรวจสอบ ตลอดจนงานบุคคลกลาง
ก่อนที่เขาจะก้าวสู่ตำแหน่งผู้จัดการใหญ่เครือซิเมนต์ไทย ในยุคที่นับว่าประสบความสำเร็จอย่างมากช่วงหนึ่งขององค์กรอุตสาหกรรมไทย
ที่มีอายุเกือบ 90 ปีแห่งนี้
ช่วงเวลาที่พารณดำรงตำแหน่งผู้จัดการใหญ่เครือซิเมนต์ไทย นับเป็นช่วงเวลาที่องค์กรแห่งนี้ทุ่มเทงบประมาณในการพัฒนาทรัพยากรบุคคล
อย่างมีนัยสำคัญและเป็นไปด้วยความต่อเนื่อง
เขาเป็นคนไทยคนแรกๆ ที่ได้นำเอาระบบ Total Quality Management (TQM) เข้ามาเผยแพร่อย่างจริงจังในประเทศไทย
โดยระบบการบริหารดังกล่าวได้ขยายผล ไม่เฉพาะในวงการธุรกิจอุตสาหกรรมเท่านั้น
หากแต่ยังขยายไปสู่แวดวงราชการ โดย TQM ที่คนไทยได้รู้จักในปัจจุบันก็คือ
ISO 9000 และ ISO 14000 รวมถึงระบบ ISO อื่นๆ ด้วย
ประสบการณ์ที่สั่งสมเนิ่นนาน ในวงการธุรกิจอุตสาหกรรมของพารณ เป็นประหนึ่งเบ้าหลอมทางความคิดที่ในวันนี้
ได้ตกผลึกเป็นกรอบโครงวิสัยทัศน์ ที่เขาพยายามนำเสนอเป็นแนวทางในการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ
โดยมีการปฏิรูปการศึกษาเป็นปฐมบทในการเปลี่ยนแปลงนี้
"วิสัยทัศน์ของประเทศ อยู่ที่การเป็นชาติที่มีความสามารถในการแข่งขัน
ซึ่งจะไปสู่เป้าหมายดังกล่าวได้ก็ต่อเมื่อเรากำหนดพันธกิจไว้ที่การเป็นชาติที่สามารถเรียนรู้"
พารณ อธิบายเค้าโครงความคิดของเขา ที่มีต่อประเด็นว่าด้วยระบบการศึกษาของชาติ
แนวความคิดของพารณ มิได้หยุดอยู่เพียงการบอกเล่าถ่ายทอดทางคำพูด หากแต่เขาได้ร่างแผนปฏิบัติการ
ที่ครอบคลุมตั้งแต่ชุมชนรากหญ้าในระดับหมู่บ้าน โรงเรียน มหาวิทยาลัย ตลอดจนภาคอุตสาหกรรม
และเครือข่ายในระดับจังหวัด ซึ่งบางส่วนได้ลงมือดำเนินการไปแล้ว
ก่อนจะเริ่มโครงการโรงเรียนนำร่อง ดรุณสิกขาลัย ซึ่งเป็นโรงเรียนที่สร้างขึ้นนอกระบบการศึกษาแบบเดิมนั้น
พารณได้ดำเนินการสร้างตัวแบบของโรงเรียนแนว Constructionism ในลักษณะของโครงการ
"ทดลองห้องเดียว"
ขึ้นในระบบการศึกษาปกติ ที่โรงเรียนบ้านสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ โดยเริ่มจากชั้นประถมศึกษาปีที่
3/5 และขยายไปสู่การ "ทดลองต่อเนื่องห้องเดียวในทุกระดับ" ด้วยการยึดเอาห้องเรียน
/5 ของประถมศึกษาปีที่ 1-4 เป็นแกนกลาง เพื่อประเมินความต่อเนื่อง
รูปแบบและวิถีที่ดำเนินไปของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นที่โรงเรียนบ้านสันกำแพง
น่าจะเป็นบทพิสูจน์ถึงความต่อเนื่องในประสบการณ์การบริหารอุตสาหกรรมของพารณ
ได้เป็นอย่างดี เพราะแม้ว่าเขาจะต้องการสร้าง product ใหม่ให้เกิดขึ้นในสายการผลิต
แต่ก็มิได้มุ่งหมายจะยุบแผนกการผลิตในระบบเดิมลง หากแต่ทำควบคู่กันไป โดยให้น้ำหนักความสำคัญไว้ที่การลงทุนเพื่อขยายสายการผลิตใหม่ในอนาคต
ความแตกต่างระหว่างห้องเรียน /5 โรงเรียนบ้านสันกำแพง กับห้องเรียนอื่นๆ
ที่เป็นประหนึ่งตัวควบคุมในกระบวนการทดลองทางวิทยาศาสตร์ นอกจากจะอยู่ที่ปรัชญาการศึกษาแบบ
Constructionism ที่ทำให้รูปแบบการเรียนการสอนแตกต่างกันแล้ว ตัวแปรว่าด้วยจำนวนครูต่อนักเรียน
ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างให้เกิดสภาพแวดล้อมที่แตกต่าง
ออกไป โดยในโครงการดังกล่าวห้อง /5 จะมีครูเพิ่มขึ้นเป็น
4 คนต่อนักเรียน 40-50 คน หรือในสัดส่วน 1:12 ขณะที่ห้องเรียนปกติจะอยู่ในสัดส่วน
1:50
โครงการโรงเรียนบ้านสันกำแพง มิได้มีความสำคัญในฐานะ "โครงการทดลองก่อนหน้าโครงการจริง"
สำหรับ ดรุณสิกขาลัยเท่านั้น หากแต่ยังเป็น "ห้องปฏิบัติการ" เพื่อยืนยันว่าแนวความคิดเช่นนี้สามารถทำได้จริง
ในการปรับระบบการศึกษาแบบเดิมให้เข้าสู่รูปแบบใหม่ หากมีทรัพยากรทางการเงินมากพอ
โดยไม่ต้องสร้างโรงเรียนแนวนี้ขึ้นใหม่ ความต่อเนื่องในฐานะนักอุตสาหกรรม
ที่มีโอกาสก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดบริหารเครือซิเมนต์ไทย ซึ่งเป็นองค์กรขนาดใหญ่และกว้างขวางด้วยเครือข่ายทั่วประเทศ
ประกอบกับสายสัมพันธ์ทั้งในระบบราชการและภาคเอกชนที่เขาสั่งสมมาตลอด 2 ทศวรรษเศษ
ทำให้สิ่งที่เขา "คิดและทำ" ในช่วงเวลานี้ได้รับการสนับสนุนพอสมควร
แม้จะ "คิดและทำ" กิจกรรมด้านการศึกษามาเนิ่นนาน แต่เขามิได้ถือตัวว่าเป็น
"นักการศึกษา" ที่คร่ำเคร่งกับทฤษฎีแต่อย่างใด หากนิยามที่ฉายภาพของ
พารณ ได้ชัดเจนที่สุดน่าจะอยู่ที่การเป็น "นักจัดการการศึกษา"
ซึ่งแม้จะไม่ราบเรียบแต่มีความแหลมคมมากที่สุดคนหนึ่งในวันนี้
กระนั้นก็ดีเค้าโครงความคิดต่างๆ ที่มีอยู่นั้น จะก่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างไรยังเป็นสิ่งที่ต้องติดตาม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิจารณาถึง พันธกิจซึ่งกำหนดไว้ที่การเป็นชาติ ที่สามารถเรียนรู้นั้น
กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว เรากำลังเรียนรู้สิ่งใด ซึ่งนั่นอาจทำให้ต้องมีการปรับกระบวนทัศน์ครั้งใหญ่
อีกครั้งในอนาคต