ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ในความหมายได้บอกอะไรหลายอย่างชัดเจน
หากเปรียบเทียบกับการเดินทางของ
กลุ่มศิลปินอีสานและศิลปินลาว
ยุคสมัยแห่งการหลอมรวมอารยธรรม จากฝั่งโขงสู่อีกฝั่งโขงเป็นหนึ่งเดียวความกลม
กลืนผ่านวันเวลาอันยาวนานสั่งสมประสบ การณ์ด้วยจิตวิญญาณมุ่งมั่นและศรัทธาอันแรงกล้า
โน้มนำวิถีชีวิตของพวกเขาผู้ใฝ่ฝันสร้างสรรค์ศิลปะ ผ่านความงามสื่อสะท้อนความนึกคิดสู่สามัญชนร่วมสมัย
ด้วยความคล้ายคลึงกันของผู้คนแถบ ลุ่มแม่น้ำโขงที่มีพรมแดนติดต่อกัน มีวิถีการ
ดำเนินชีวิตร่วมกันมาช้านาน ทำให้กลุ่มศิลปินอีสานและศิลปินลาวมีแนวคิดที่จะร่วม
มือกันในการส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน พวกเขาจึงได้ร่วมใจกันสร้างสรรค์ผลงานออกมา
"ศิลปะเป็นเรื่องสากลจึงไม่แปลกที่พวกเรานำมาเป็นสะพานเชื่อมความแน่น
แฟ้นที่ดีต่อกัน ในวงการศิลปะเข้าใจและพูด กันง่ายทำให้เกิดมิติที่ดีขึ้น"
อาจารย์สมเกียรติ เจริญสุข แห่งมหาวิทยาลัยขอนแก่น ศิลปินกลุ่มศิลปินอีสานคนหนึ่งบอก
"ฮ่วมแฮง ปั้นแต้ม" คือชื่อนิทรรศการ ล่าสุดของกลุ่มศิลปินอีสานและศิลปินจากประเทศลาว
ได้ร่วมกันนำผลงานมาแสดงให้ได้ประจักษ์ในพลังความคิด ณ สีลมแกลเลอเรีย
พวกเขาถ่ายทอดผลงานทางชั้นเชิงทางจิตรกรรมและประติมากรรม มีทั้งความงามแบบเรียบๆ
แต่ไม่ไร้ชีวิต รุนแรง และขัดแย้ง ซึ่งช่วยให้ผลงานมีชีวิตชีวาดูสนุกและน่าสนใจ
"งานของพวกเรามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวโดยมีความเป็นพื้นบ้านและวัฒนธรรมแฝงอยู่ในงาน"
อาจารย์สมเกียรติเล่า
ทั้งผลงานจิตรกรรมและประติมากรรมแสดงให้เห็นพลัง ในการสร้างสรรค์ของกลุ่มศิลปินทั้งสองฝั่งโขง
แม้ว่าอาจจะตื่นเต้นเล็กน้อยกับนิทรรศการครั้งนี้ที่มีงานกว่า 300 ชิ้น แต่
ไม่ได้กระทบโดยตรงต่อความรู้สึกในทันทีทันใด เหมือนกับว่ากำลังยืนเผชิญหน้าอยู่กับสีสันร้อนแรงที่ปราศจากพลังดึงดูด
ยิ่งเพ่งพินิจจากมุมกว้างยิ่งให้เกิดช่องว่างมากขึ้นกว่าที่จะรั้งตัวเองเข้าหาตัวของผลงาน
ผลงานแต่ละชิ้นของแต่ละศิลปินมีความน่าสนใจ ทำให้เกิดอารมณ์สนุกสนาน เกิดความรู้สึกเคลื่อนไหวติดตามไปกับการปะติดปะต่อ
ไหวเอนไปอย่างไม่หยุดนิ่งกับท่วงที ลีลาสละสลวยเหมือนบทเพลงแผ่วเบา ร้อนแรงเหมือนพายุพัดโหมกระหน่ำ
และงดงามด้วย ทำนองอันเป็นเอกเทศ
การผสมผสานอย่างลงตัวเกิดจากอิทธิพลของสื่อต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ที่ศิลปิน
แต่ละคนเคยประสบมาโดยตรงแล้วนำมาสร้างงาน ซึ่งไม่ได้มาจากเรื่องราวที่ฝังใจในอดีต
แต่มาจากการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม
"พวกเราแต่ละคนไม่ได้สร้างผลงานแบบตายตัว ปีนี้อาจจะสร้างงานแนวนี้แต่ปีหน้า
อาจจะเขียนไปอีกแนว หรือปีนี้เขียนรูป ปีหน้าหันมาเล่นงานปั้น ดังนั้นอิทธิพลที่มีต่อตัวศิลปินมาจากสื่อแล้วผนวกเข้ากับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของตัวเอง"
อาจารย์สมเกียรติชี้
นี่คือศิลปะสมัยใหม่ตามแนวคิดของกลุ่มศิลปินอีสานที่ไม่ได้ยึดติดอยู่ที่รูปแบบของงาน
แต่ขึ้นอยู่กับเทคนิค "คนส่วนใหญ่ตีความศิลปะสมัยใหม่ว่าเป็นงานแบบ
abstract, modern art, realistic ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่"
หัวใจของศิลปะสมัยใหม่ ก็คือ สร้างสไตล์ใหม่ให้แตกต่างจากศิลปะในอดีต วิธีการ
พูดสั้นๆ คือ ทำให้ รูปร่าง สัดส่วน สี หรือลักษณะอื่นๆ บิดเบี้ยว ต่างไปจากเดิม
ความหวัง ความใฝ่ฝันได้ปลุกให้กลุ่มศิลปินอีสานและศิลปินลาวลุกขึ้นหวนหาความรู้สึกอันหอมหวาน
ที่ตกตะกอนอยู่ภายในส่วนจิตสำนึก ผลงานของพวกเขาจึงเปรียบเสมือนทางเดิน ความฝันครั้งเก่า
รอยยิ้ม น้ำตา และความพยายาม
ดังนั้นจึงมิใช่เพียงแต่การสร้างสรรค์ผลงานเท่านั้น หากเป็นชีวิตของพวกเขาด้วย
"ด้วยระยะเวลา สังคม และเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นตัวบีบทำให้งานเปลี่ยนไปด้วย"
สมเกียรติบอก "ศิลปินหลายคนในกลุ่มถามตัวเองว่าทำไมเราไม่ทำงานเพื่อขายบ้าง
สีไม่มีติด หลอดแล้วนะ เงินเดือนครูไม่พอยาไส้ ลูกเมียจะอยู่กันอย่างไร"
เมื่อเป็นเช่นนี้ผลงานแต่ละชิ้นจึงไม่ใช่แค่วัตถุที่ถ่ายทอดจินตนาการของพวกเขา
มันเป็นเสียงแห่งความสำเร็จไปในกาลเวลา มันคือทรวดทรง รูปร่างของกระแสแห่งลมหายใจที่ดำรงอยู่
ในฐานะที่เป็นคนทำงานศิลปะของกลุ่มศิลปินอีสานและศิลปินลาว
ฮ่วมแฮง ปั้นแต้ม จึงบอกแห่งเป็นไปของชีวิตคนกลุ่มหนึ่ง ปรารถนาสร้างงานขึ้นมาเพื่อพิสูจน์ความหมายของตัวตนที่ได้ปรากฏการอยู่ในบนโลกศิลปะ
นี่คือความพยายามของกลุ่มศิลปินของสองฝั่งโขงได้หลอมหัวใจของพวกเขาเข้ากับ
หัวใจของชีวิตอื่นๆ ให้ประจักษ์ถึงการยืนยันที่จะยืนหยัดแห่งความเชื่อมั่นศรัทธาแห่งตน
ในการดำรงอยู่ด้วยศิลปกรรม
ความจริงการแสดงนิทรรศการครั้งนี้ หมายถึงเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต
คือข้อพิสูจน์ของคนทำงานศิลปะ คือระยะทาง การเดินทาง ผ่านเหตุการณ์ทั้งยากลำบาก
ตื่นเต้นด้วยจิตมุ่งมั่นและศรัทธาต่อสิ่งที่ตัวเองใฝ่ฝัน คือพลังอันวิเศษสุดหล่อเลี้ยงจิตใจ
พวกเขาจึงเลือกที่จะมีอยู่จริงด้วยการผูกพันกับงานศิลปะ การมีชีวิต ของพวกเขาก็คือการสร้างสรรค์
ผลงานโดยภาพรวมจากนิทรรศการ "ฮ่วมแฮง ปั้นแต้ม" ได้ขยายขอบเขตความคิดไปในเรื่องการแสวงหาความลึกของมนุษย์
สังคม เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม
ศิลปะอาจไม่ได้สูงส่งทรงคุณค่าไม่รู้วันเสื่อมคลาย แต่ชีวิตของกลุ่มศิลปินอีสาน
และศิลปินลาวได้เสนอออกมาให้เห็นถึงความใฝ่ฝัน ความดี และความงาม