เมื่อ 100 กว่าปีก่อน ไค้ แซ่ถ่ำ หนุ่มชาวจีน อายุ 30 ปี จากเมืองกวางตุ้ง
ตัดสินใจมาหางานทำในเมืองไทย ไค้เป็นคนมีความรู้ในระดับซิ่วไช้ (เทียบเท่ากับปริญญาตรี)
เมื่อมาถึงเขาได้ไปทำงานเป็นคนเก็บเงินอยู่ที่บริษัทออนเหวงของตระกูลล่ำซำ
และได้เช่าบ้านอยู่ในย่านวงเวียน 22 กรกฎา ซึ่งขณะนั้นมีบรรยากาศของชานเมือง
และมีถนนราดยางมะตอยเช่นเดียวกับบ้านนอก
ไค้มีเพื่อนชาวจีนคนหนึ่งชื่อคั้น ที่มาปรึกษาเขาว่าจะทำอาชีพอะไรดี โดยที่ไม่ต้องไปเป็นลูกจ้างใคร
ไค้ก็เลยให้สูตรการทำน้ำจับเลี้ยง บนถนนสายนี้ก็เลยมีเพิงหมาแหงน ขายน้ำจับเลี้ยงเกิดขึ้น
ต่อมาคั้นได้เซ้งตึกของสำนักงานทรัพย์สินส่วน พระมหากษัตริย์ ขายน้ำจับเลี้ยงมาเกือบ
10 ปี หลังจากนั้นเขาก็มีความคิดว่าจะกลับเมืองจีน และได้โอนกิจการให้ไค้ดูแลต่อ
ซึ่งนอกจากการขายน้ำจับเลี้ยงไค้ยังได้ค้นคว้าหาตำรับยาสมุนไพร ที่เหมาะสมกับสุขภาพของผู้คนในภูมิภาคเขตร้อน
รวมทั้งได้ปรับปรุงตำรับยาขมจากถิ่นกำเนิดเดิม ของประเทศจีนตอนใต้ให้เหมาะสมกับพฤติกรรมผู้บริโภค
และความเป็นอยู่ของคนไทย
ปี 2444 ไค้ได้เผยแพร่ตำรับยาขมในเมืองไทย และได้ตั้งร้านขายยา ขายในราคาชามละ
1 สตางค์ โดยเริ่มทำการขายตั้งแต่หัวค่ำจนถึงเที่ยงคืน
เริ่มทีเดียวการขายยาขมเริ่มจากการสุมไฟต้ม แล้วเคี่ยวขายหน้าร้านกันเป็นชามๆ
ละ 1 สตางค์ มีสรรพคุณที่เชื่อกันว่าแก้ร้อนใน ที่มีการสังเกตได้จากการมีไข้รุมๆ
โดยไม่ทราบสาเหตุ ไอมีเสมหะ ถ่ายแสบทวารหลังทานอาหารเผ็ดมัน หรือรสจัด ตาแดงหลังอดนอนหรือขี้ตามาก
ปัสสาวะขัด ปัสสาวะร้อน นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการเมาค้าง และให้ผลดีต่อคนที่สูบบุหรี่จัดด้วย
ต่อมา องอาจกับจินต์ซึ่งเป็นลูกชายและลูกสะใภ้ของไค้ ได้เป็นผู้สานต่อกิจการนี้
เสถียร ธรรมสุริยะ ซึ่งเป็นลูกชายขององอาจได้เล่าย้อนอดีตให้ฟังว่า
"ตึกแถวของสำนักงานทรัพย์สินฯ นั้นจะมีสองชั้น ชั้นล่างคุณแม่ก็จะมีหม้อต้มยาขม
3 ใบ โดยไปซื้อไม้โกงกาง ที่สะพานนายเลิศ ตลาดน้อยมาสุมไฟ ตอนเย็นคุณพ่อองอาจกลับมาจากทำงานที่ธนาคารก็จะมาช่วยกันขายจนดึกดื่นทุกวัน"
สูตรยาขมของน้ำเต้าทองจะประกอบไปด้วยส่วนผสมของราก กิ่ง ใบ ของพืชสมุนไพร
24 ชนิด ซึ่งต้อง สั่งซื้อจากเมืองของประเทศจีนทางตอนใต้ เป็นสูตรที่นิยมกันมาก
ที่เมืองกวางตุ้ง กวางไส
"คนจีนต้องกินพืชผล และน้ำที่เกิดมาจากเมืองเหนือ แล้วมารักษาเมืองใต้
บ้านเราเรียกว่าเมืองใต้ แล้ววิธีเก็บน้ำของเขาก็คือเอาสมุนไพรมามาต้มให้คนใต้กิน
นี่เป็นหลักของปรัชญา ต้นหมากรากไม้นี่ล่ะจะเป็นตัวอุ้มน้ำ" เสถียรเล่าให้ฟังถึงความเชื่อแต่โบราณของคนจีน
เมื่อตึกแถวสองชั้นเต็มไปด้วยการต้มยา บดยา ตอนหลังเลยขยายโรงงานไปยังวรจักร
และย้ายไปที่คลองสาน อยู่ที่คลองสาน 8 ปี จากนั้นไปหาซื้อที่ดินที่ประเวศ
14 ไร่ สร้างเป็นโรงงานถาวรที่ใหญ่โตจนถึงปัจจุบัน
วิธีการขายในยุคแรกๆ จากที่ขายเป็นชามก็เปลี่ยนเป็นชงใส่กระป๋องนมข้นหวานที่ร้านกาแฟทิ้งแล้ว
มีเชือกกล้วยห้อยสำหรับถือกลับบ้าน วันหนึ่งๆ ในตอนนั้นต้องเตรียมกระป๋องไว้ประมาณ
3-4 เข่ง
ในยุคของเสถียรเมื่อปี 2499 เริ่มมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยมีเพื่อนเป็นคนญี่ปุ่นชื่อว่า
คาวาชิ แนะนำว่าให้เอายามาโม่บดละเอียดใส่ซองกระดาษสาที่สั่งซื้อจากประเทศญี่ปุ่น
ใช้จักรเย็บซิกแซ็กทั้ง 2 ข้าง แล้วเอาไปต้มน้ำได้ โดยกระดาษไม่ละลาย
ด้วยวิธีการนี้เลยได้ขยายจากหน้าร้านออกไปขายตามต่างจังหวัดด้วย ต่อจากนั้นก็ได้มีการทำการตลาดขายยาขมชนิดต้มไปทั่วประเทศ
พร้อมทั้งทำการโฆษณาทางวิทยุและโทรทัศน์ นับเป็นก้าวสำคัญของยาขมตราน้ำเต้าทองออกสู่สายตาคนทั้งประเทศ
และนับจากนั้นเป็นต้นมา ยาขมน้ำเต้าทองได้สร้างชื่อเสียงในด้านคุณภาพของตำรับสมุนไพรที่เชื่อถือได้มาตลอดจนปัจจุบัน
ปี 2517 ยาขมน้ำเต้าทองมีการพัฒนารูปแบบใหม่เพิ่มขึ้น โดยบริษัทได้สั่งเครื่อง
Extractor Evaporator และ Spraydrier ซึ่งจะเป็นเครื่อง Continuous โดยใช้ไฟขนาด
300 แอมป์ 4 สายเดินเครื่อง 24 ชั่วโมง จากประเทศเดนมาร์กมาเพื่อผลิตยาสำเร็จรูป
คือยาขมชงน้ำเต้าทอง ซึ่งละลายน้ำได้ในพริบตา และบางส่วนก็ทำเป็น ยาเม็ดสำเร็จรูป
ยาขมเม็ดน้ำเต้าทอง เพื่อให้รับประทานได้ง่ายและได้ผลเร็วขึ้น เนื่องจากเป็นหัวยามาอัดเป็นเม็ด
ชวน ลูกชายคนหนึ่งของเสถียรได้เข้ามาดูแลกิจการของครอบครัวต่อจากบิดาในช่วงนี้
4 ชั่วคนของเจ้าของตำรับยาขมน้ำเต้าทองนั้นเป็น ผู้ที่มีวิชาความรู้สมัยใหม่ทั้งสิ้น
ต้นตระกูลคนแรกในเมืองไทย คือไค้ แซ่ถ่า นั้นมีความรู้ระดับซิ่วใช้ (เทียบเท่าปริญญาตรีสมัยนี้)
องอาจ ธรรมสุริยะ บุตรชายของไค้นั้นเมื่อยังเป็นเด็กก็ได้รับการศึกษาที่โรงเรียนอัสสัมชัญ
ต่อมาได้ทำงานที่ธนาคารฮ่องกงเซี่ยงไฮ้ ตำแหน่งสุดท้ายคือ ผู้จัดการธนาคารมณฑลสาขาราชวงศ์
บุตรขององอาจที่เข้ามาทำกิจการยาขมคนต่อมาคือ เสถียร ธรรมสุริยะ จบการศึกษาจากโรงเรียนอัสสัมชัญในชั้นมัธยมศึกษาปีที่
6 และวิชาการพาณิชย์ปีที่ 2 จากโรงเรียน อัสสัมชัญพาณิชย์ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่
2 และเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้กับพรรคชาติไทยในสมัยหนึ่งด้วย
ส่วนชวนผู้ได้รับมรดกชิ้นนี้ต่อมานั้น จบการศึกษาระดับปริญญาโททางเคมีเทคนิคคณะวิศวกรรมศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโททางบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลับธรรมศาสตร์
ชวนมีพี่ชายคือ เสริม จบปริญญาตรี ทางด้านช่างกล จากมหาวิทยาลัยเทกซัส สหรัฐอเมริกา
และสกล น้องชายจบปริญญาด้านพาณิชยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเบอร์กลีย์ แคลิฟอร์เนีย
สหรัฐอเมริกา
ชวน เสริม และสกล ได้ช่วยกันทำกิจการยาขมอยู่ พักหนึ่งก่อนที่จะแยกย้ายไปทำธุรกิจที่แต่ละคนถนัด
ปัจจุบันเสริมไปทำธุรกิจด้านรับสัมปทานพื้นที่ขายโฆษณา ส่วนสกลทำธุรกิจทางด้านโรงงงาน
เครื่องแพ็กกิ้ง บรรจุภัณฑ์ เช่น เครื่องแพ็กน้ำแข็ง แพ็กข้าวสาร
ส่วนพี่น้องผู้หญิงอีก 3 คน ที่มีดีกรีทางการศึกษาจากต่างประเทศทั้งหมดนั้น
ขณะนี้กำลังช่วยกันทำธุรกิจโรงเรียนอนุบาล "สุวาวรรณ" ย่านเจริญนคร
ปัจจุบัน ชวนอายุ 52 ปี ความหวังในการสืบทอดกิจการของเขาอยู่ที่ลูกชายคนโต
ที่กำลังศึกษาต่อระดับปริญญาโททางด้านวิทยาศาสตร์การอาหารที่เมืองซิดนีย์
ประเทศออสเตรเลีย
แน่นอนก้าวต่อไปของเขาและลูกชายจะไม่ใช่การทำธุรกิจยาโบราณขายอย่างเดียวอีกต่อไป