เช้าตรู่วันอังคารที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001... เพียงชั่วเวลาไม่กี่ชั่วโมงสามารถสร้าง
ประวัติศาสตร์ที่เศร้าสลดให้แก่ชาวอเมริกันทุกคนที่ต้องจดจำไปชั่วนิรันดร์
ภายหลังจาก ที่กลุ่มผู้ก่อการร้ายบุกจี้เครื่องบินสายการบิน ยักษ์ใหญ่ของอเมริกา...อเมริกันแอร์ไลน์และ
ยูไนเต็ดแอร์ไลน์...ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันถึง 4 ลำ...สองลำแรกปฏิบัติการ
"Fight Club" สำเร็จ โดยจู่โจมสองตึกแฝด World Trade Center ใจกลางเมืองแมนฮัตตันแห่งนครนิวยอร์ก...ภาพสุดท้ายในขณะที่ตึกประวัติ
ศาสตร์กำลังทรุดตัวลง...เหมือนฉากสุดท้ายใน "Fight Club" ที่มีพระเอกแบรดพิท
และเอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน แสดงนำ...เหมือนภาพลวง ตา..ชั่วโมงถดมา...ภาพความเสียหายของอาคารเพนตากอน
ที่ถูกเครื่องบินที่ผู้ก่อการร้ายใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายศูนย์กลาง บัญชาการกระทรวงกลาโหมของอเมริกา
ถูก ถ่ายทอดไปทั่วโลก เช่นเดียวกับตึกแฝด "เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์"
และอาคารข้างเคียงที่ได้รับความเสียหายหลายสิบอาคาร ล้วนอยู่ ในศูนย์กลางธุรกิจสำคัญของโลก...ลำสุดท้าย
ปฏิบัติการไม่สำเร็จ ถูกบังคับให้ตกก่อนถึงเป้าหมายที่เพนซิลวาเนีย... เพียงเท่านี้ก็สามารถพลิกประวัติศาสตร์อเมริกาชาติมหา
อำนาจที่ไม่มีใครสามารถแตะต้องได้... ไปสู่ความไม่มั่นคงในรูปแบบใหม่.. ลำดับเหตุ
การณ์เช้าวันอังคารที่ 11 กันยายน..."ฝัน" เป็นความรู้สึกแรก หลังจากถูกปลุกด้วยรายงานด่วนจากรายการวิทยุว่า
มีเครื่องบินพุ่งชนอาคาร World Trade Center... ในใจคิดว่าคงเป็นเครื่องบินเล็กส่วนตัว
มือใหม่หัดขับ คงไม่ร้ายแรงมากนัก ขณะที่ผู้สื่อข่าว ทำหน้าที่รายงานข่าวนั้น
โดยยังไม่ทราบสาเหตุ เขาก็รายงานต่อด้วยน้ำเสียงอันตื่นเต้นว่า มีเครื่องบินลำที่สองพุ่งชนเข้าอาคาร
World Trade Center อาคารที่สองที่อยู่ติดกับอาคารแรก... ความรู้สึกขณะนั้น
"ตื่น" และ "รับรู้" โดยสัญชาตญาณว่า นี่ไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดา
แต่เป็นการก่อการร้ายชนิดสายฟ้าฟาด... โทรทัศน์ถูกเปิดทันที ภาพแรกที่เห็น...ไฟกำลังลุกโหม
ช่วงบนของสองตึกแฝด World Trade Center...ขณะกำลังงุนงง...ภาพต่อมา...อาคารแรกค่อยๆ
ถล่มลงจากบนลงล่าง และอาคารที่สองตามมาติดๆ...ภาพฝุ่นควันคลุ้ง...ผู้คนอลหม่าน...ช็อก
กับภาพสด "LIVE" จาก CNN...ความรู้สึกชา หลับตาเห็นภาพคนนับพันชีวิตที่เริ่มต้นเช้าของการทำงานบนสองอาคารนั้น
ยังไม่รวมอาคารอื่นข้างเคียงที่ได้รับผลกระทบของแรงอัด ที่เทียบได้กับความสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวระดับย่อมๆ...
ขณะกำลังมึนงง... รายงานต่อมาแทรกว่า มีเครื่องบินอีกลำพุ่งชนอาคารเพนตากอน
สร้างความเสียหายไม่น้อย...เหตุการณ์ยังไม่ยุติ มีรายงานเข้ามาอีกว่า มีเครื่องบินอีกลำหนึ่งตกที่มลรัฐเพนซิลวาเนีย...แต่ภาพที่เห็น
ยังไม่ติดตาเท่ากับภาพอาคาร World Trade Center แห่งนครนิวยอร์กที่ฉายซ้ำแล้วซ้ำอีก...
สร้างความหดหู่ให้กับเช้าอันควรแจ่มใส...
สองสัปดาห์หลังจากเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ คำถามที่ผู้คนถามกันมากที่สุดคือ
"คุณกำลังทำอะไรอยู่ขณะที่ตึก World Trade Center ถูกจู่โจม"...ซึ่งทุกคนสามารถเล่าได้อย่างละเอียดว่า
กำลังทำอะไรอยู่และอยู่ที่ไหนในขณะนั้น... ราวกับย้ำเตือนว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะอยู่ในความทรงจำตลอดกาล...
ซึ่งเป็นเรื่องพิศวงที่เป็นจริง... เหตุการณ์ครั้งนี้สื่อโทรทัศน์ มีอิทธิพลอย่างมากต่อความคิดและสภาพจิตใจของชาวอเมริกัน...
ภาพความทรงจำที่เลวร้าย ถูกประมวลถ่ายทอดซ้ำแล้วซ้ำอีกนับล้านครั้ง...
เช้าวันนั้น หลังจากพอตั้งสติได้บ้างก็อาบน้ำแต่งตัวไปมหาวิทยาลัยตามปกติ...
ภาพที่เห็น...บรรยากาศที่รับรู้แตกต่างจากวันก่อนๆ โดยสิ้นเชิง...เงียบ ทุกอย่างเงียบสงัด
ไม่เหมือนชีวิตชีวาของชาวมหาวิทยาลัย อย่างเคย...ภาพนักศึกษาเดินสวนกันด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ไม่มีการหยุดถามหรือทักทายกันเช่นเคย...บางคนสวมหูฟังวิทยุตลอดเวลา ใบหน้าแดงกล่ำ
น้ำตาคลอเบ้า...เงียบ...และ ความรู้สึกเดียวกันคือ...ช็อก...เศร้าสลด...
สูญเสีย...หวาดกลัว...และหวาดระแวงว่าอาจ จะยังไม่ยุติเพียงเท่านี้... ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้สะสมและก่อตัวขึ้น
หลังจากที่ได้รับฟังและรับรู้ข่าวสารที่สับสนจากทั้งวิทยุและโทรทัศน์ ที่รายงานความเสียหาย
รวมทั้งรายงานที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเครื่องบินอีกลำที่ถูกสลัดอากาศควบคุม
และยังคงบินอยู่ในน่านฟ้าอเมริกา...ที่ไหน...จะเป็นเป้าหมายต่อไป... ไม่มีใครรู้...ต่อมา
ผู้สื่อข่าวชี้แจงว่าเป็นการรายงานที่คลาดเคลื่อน...โล่งอก แต่ยังหวาด หวั่น
แม้จะอยู่ไกลจากที่เกิดเหตุ แต่ขณะนั้น ทุกคนมีอารมณ์เดียวกัน...
...เที่ยงวันนั้น ธุรกิจ โรงเรียนประกาศ หยุดทำการเป็นเวลา 1 วัน จากรายงานข่าว
นครชิคาโกมีคำสั่งเคลียร์พื้นที่และอพยพผู้คนออกจากตึกใหญ่ทุกอาคาร สร้างความสับสนอลหม่านไม่น้อย...จากความสับสนในขณะนั้น
หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่า เป้าหมายต่อไปน่าจะเป็นนครชิคาโก เนื่องจากมีตึกสูงระฟ้าระดับโลกอยู่
2 ตึกด้วยกันคือ Sear Tower และ John Hancock Tower...ระบบการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด
ถูกปลุกให้ตื่น เพื่อทำหน้าที่อย่างเต็มกำลัง...สื่อทั้งวิทยุและโทรทัศน์ต่างทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่
ทั้งวันทั้งคืน พยายามประมวลภาพเหตุการณ์ ฉายซ้ำแล้วซ้ำอีก พร้อมพยายามหาเหตุผลอธิบายว่า
เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และใครเป็นคนทำ แต่ไม่มีใครให้คำตอบที่ชัดเจน...
หลังจากที่เฝ้าติดตามข่าวอย่างใกล้ชิดทั้งทางวิทยุโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ตลอด
2 สัปดาห์เต็ม...จิ๊กซอว์ข้อมูลเริ่มปะติดปะต่อเป็นรูปเป็นร่างแต่ยังคลุมเครือ
เพราะเท่าที่รู้ไม่มี ใครพูดความจริง...ความรู้สึกที่ตามมาคือ อิ่มและเอียนกับข้อมูลที่ได้รับรู้
รับฟัง...สิ่งที่น่าสนใจ จากเหตุการณ์ครั้งนี้คือ อิทธิพลของสื่อกับความรู้สึกของคน...จากภาพเหตุการณ์
ไตเติลข่าว อาทิ "อเมริกาภายใต้การจู่โจม" "อเมริกากับสงครามในรูปแบบใหม่"
เป็นต้น อีกทั้งเพลงประกอบการรายงาน สีหน้าของผู้สื่อข่าว ถ้อยคำบรรยายและการนำเสนอภาพชาวปาเลส
ติเนี่ยนหรือกลุ่มตอลิบันที่แสดงความยินดีหลังจากอเมริกาถูกจู่โจม เหล่านี้ล้วนซึมซับเข้าสู่จิตใจของประชาชน
สร้างความรู้สึกสูญเสีย ความกลัว จนกลายเป็นความโกรธ อาฆาตและ เคียดแค้น
นักจิตวิทยาถึงขั้นแนะนำให้คนที่เฝ้าดูข่าวเป็นชั่วโมงๆ หลังจากเหตุการณ์
ควรจะต้อง คุยกับจิตแพทย์เพื่อรับการเยียวยาสภาพจิตใจ ขณะเดียวกันสื่อก็ทำหน้าที่ปลุกกระแสความรักชาติ
ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของชาวอเมริกันอย่างเต็มที่ เกือบทุกบ้าน ทุกสถานที่
มีการประดับธง สถานที่ราชการลดธงครึ่งเสาไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิต...
ผู้สื่อข่าวท้องถิ่นประจำเมือง DeKalb มลรัฐ Illinois รายงานว่า ธงชาติอเมริกันขาด
ตลาด ทำให้หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นต้องพิมพ์ภาพสีธงชาติขนาดเต็มหน้า เพื่อให้คนสามารถนำไป
ใช้แทนได้ ร้านค้าบางร้านถึงกับเปิดเพลงมาร์ชปลุกใจ รวมทั้งจำหน่ายให้แก่ประชาชนด้วย
เทียนไข 3 สี ขาว แดง น้ำเงิน ถูกนำมาวางจำหน่ายในมุมรักชาติ ซึ่งสินค้าทุกอย่างถูกผลิตให้มีสีตามธงชาติอเมริกัน...
โดยยังไม่มีใครทราบแน่นอนว่า เกิดอะไรขึ้น...แต่ที่ทราบคือ "อเมริกาถูกจู่โจม"
ตามที่สื่อรายงาน... "อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป" เป็นคำถามที่ไม่มีใครรู้คำตอบ
ที่แน่นอน
จากคำแถลงการณ์ "War on Terror" ของประธานาธิบดีจอร์ช บุช กลายเป็นหัวข้อหลักในการสนทนาถกเถียงกันตั้งแต่ชนชั้นล่างจนถึงระดับผู้นำประเทศ
อย่างไรก็ตามช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้คนเริ่มกลับเข้าสู่การดำเนินกิจกรรมชีวิตตามปกติ
แต่ปกติแค่ไหน ยากที่จะเดา...ที่แน่นอนคือ ทุกคนยังคงเฝ้าติดตามกระแสข่าวความคืบหน้าเป็นระยะ
และ "สื่อ" ยังคงทำหน้าที่อย่างหนักแน่นในการสร้างกระแสปลุกเร้าความรักชาติ
ผนวกความเป็นมืออาชีพในการ "การสร้างภาพ"...ภาพไหน...อย่างใด...ขึ้นอยู่กับฝ่ายที่คุณอยู่...