บ้านสีขาวหลังใหญ่ท่ามกลางแมกไม้อันร่มครื้มหลังนี้ มีอายุเพียง 26 ปี แต่ก็เต็มไปด้วยเรื่องเล่าแห่งตำนาน
ที่น่าภาคภูมิใจของราชสกุลกฤดากร ที่สืบต่อมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เจ้าของบ้านหลังนี้คือ ม.ล.ชโยทิต กฤดากร ผู้สืบ ราชสกุลกฤดากร รุ่นที่
4 ต้นราชสกุลกฤดากรนั้นก็คือ พระบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้ากฤษดาภินิหาร กรมพระนเรศวรฤทธิ์
พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว กับเจ้าจอมมารดาซ่อนกลิ่น
เป็นพระอนุชา องค์หนึ่งในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านเคยเป็นเจ้าของวังพระอาทิตย์
ถนนพระอาทิตย์ มี 3 หม่อมคือ หม่อมสุภาพ หม่อมแช่ม หม่อมเจิม ซึ่งหม่อมเจิมนั้นมีลูก
คือหม่อมเจ้าเสริมสวาสดิ์ กฤดากร ซึ่งแต่งงานกับหม่อมหลวงแส สนิทวงศ์ มีบุตรคนหนึ่งชื่อ
ม.ร.ว.ยงสวาสดิ์ กฤดากร แต่งงานกับท่านผู้หญิงวิยะฎา มีบุตร 2 คนคือ ม.ล.ปิยาภัสร์
ภิรมย์ภักดี และม.ล.ชโยทิต กฤดากร
ม.ล.ชโยทิต มีภรรยาชื่อมนทกานติ์ บุตรสาวของ ม.ล.อัศนี ปราโมช และท่านผู้หญิงวราพร
ปราโมช ณอยุธยา มีบุตรชาย 1 คนคือ เด็กชายปิยกร กฤดากร ณ อยุธยา
"วังพระอาทิตย์ เมื่อก่อนเป็นวังของสมเด็จทวด (พระบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้ากฤษดาภินิหารฯ)
คือ ตึกที่ทำการขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (F.A.O) ในวันนี้
บ้านเลขที่ 19 ของถนนพระอาทิตย์อะไรนี่ก็คืออาณาเขตหมด แต่สมัยก่อนเจ้านายจะมีหนี้สินกับสำนักงานทรัพย์สินฯ
ค่อนข้างเยอะ เพราะท่านต้องเลี้ยงคน ดังนั้นก็จะมีการถวายวังคืนให้พระเจ้าแผ่นดิน"
ม.ล.ชโยทิตหรือคุณปืนเล่าถึงสาเหตุของการย้ายที่อยู่ในยุคแรก
จากถนนพระอาทิตย์ ต่อมาในสมัยของหม่อมเจ้าเสริมสวาสดิ์ กฤดากร ก็ได้ย้ายไปอยู่ในซอยหลักเขตบนถนนสุขุมวิท
เมื่อย่านสุขุมวิทเริ่มจอแจแออัดมากขึ้น หน้าปากซอยกลายเป็นโรงแรม เป็นสถานที่
เที่ยวเตร่ของคนกลางคืน จนกระทั่งต้องมาหาซื้อที่ดินแถวหัวหมากสร้างบ้านใหม่
อีกครั้ง ซึ่งเมื่อ 26 ปีก่อนนั้น หัวหมากยังคงเป็นท้องทุ่งที่ร่มรื่น ไม่ค่อยมีบ้านคนเท่าไรนัก
"เมื่อก่อนนั้นเวลาออกมาทานข้าวนอกบ้านคุณพ่อก็ชอบขับรถเล่นมาเที่ยว
แถวนี้ ต้นไม้เยอะ ถนนก็โล่ง ตอนย้ายมาอยู่ที่นี่ผมอายุแค่ 9 ขวบ แล้วในบ้านก็มีท่าน้ำมีคลอง
น้ำใสเห็นปลาว่ายเต็มไปหมด ทั้งปลาหมอ ปลาช่อน ปลาสลิด ผมกับพี่ต้น (ม.ล.ปิยาภัสร์)
ชอบไปยืมเรือเพื่อนบ้านที่เป็นชาวมุสลิมใจดีมาพายเล่น"
ม.ล.ชโยทิตฟื้นความหลังเมื่อยังเด็ก แล้วยังขยายความต่ออีกว่า ม.ล.ปิยาภัสร์
ที่โตขึ้นมาเป็นสาวสวยบุคลิกเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้วจนได้รับเลือกให้แสดงเป็นสมเด็จพระสุริโยไท
ในภาพยนตร์แห่งสยามประเทศเรื่องสุริโยไทนั้น เมื่อยังเล็ก ก็ชอบในเรื่องตกปลา
ปีนป่ายต้นไม้เหมือนเด็กผู้ชายคนหนึ่งเหมือนกัน
ลำคลองที่อยู่ติดบ้านนั้น เรียกว่า คลองบางกระจาด ที่แยกออกมาจากคลอง แสนแสบ
ทุกวันนี้ในน้ำไม่เห็นตัวปลา น้ำใสๆ กลายเป็นน้ำสีดำแทน หลังจากทางราชการได้ทำประตูกั้นน้ำ
เปลี่ยนทิศทางการไหลของน้ำ คลองนี้เลยกลายเป็นคลองน้ำเสีย ที่ใช้รดต้นไม้ได้อย่างเดียว
และท่าน้ำซึ่งเคยเป็นที่เล่นอันสนุกสนานของคุณปืนและคุณต้นใน วัยเด็ก วันนี้กลายเป็นสถานที่ต้องห้ามไม่ให้น้องลูกปืน
ลูกชายจอมซนวัย 3 ขวบเข้าไปกล้ำ กราย เพราะกลัวอันตราย
ในพื้นที่ประมาณ 3 ไร่ที่ซื้อไว้นี้ได้ถูกสร้างเป็นบ้าน 2 หลังคือ บ้านของม.ร.ว.ยงสวาสดิ์
และท่านผู้หญิงวิยะฎา ส่วนอีกหลังเป็นบ้านของหม่อมหลวงแส และ ม.ร.ว.พูนสวาสดิ์
ซึ่งเป็น คุณลุงของ ม.ล.ชโยทิต บ้าน 2 หลังถูกสร้างมาพร้อมๆ กัน เมื่อทั้งคู่แต่งงาน
พี่สาวได้ย้ายมา อยู่บ้านเดิมของคุณพ่อคุณแม่ ส่วนเขาย้ายมาอยู่บ้านที่คุณย่ากับคุณลุงเคยอยู่
ซึ่งปัจจุบันเสีย ชีวิตไปแล้วทั้ง 2 ท่าน บ้านสองหลังถูกปรับปรุงสร้างเพิ่มเติมเมื่อ
4 ปีที่ผ่านมา และในเวลานี้ กำลังขยายปรับปรุงเพิ่มเติมพร้อมๆ กันอีก
"สมัยนั้นมีที่ดินซึ่งคุณพ่อกับคุณลุงมาดูไว้ 2 ซอยคือ ซอยธารารมณ์กับซอยนี้
ราคาตารางวาละ 2,500-3,000 บาท แต่ตอนนั้นที่ดินในซอยธารารมณ์มันติดวัดคุณลุงก็กลัวว่าเวลา
เผาศพแล้วมันจะเหม็น ส่วนที่ดินตรงข้ามติดกับคลองมีคนมาเสนอขายคุณย่าไร่ละ
1,000 บาท ถ้าท่านซื้อไปป่านนี้ผมก็ไม่ต้องทำงานแล้ว"
รอบๆ บริเวณบ้านหลังนี้ยังมีต้นไม้ใหญ่หลงเหลืออยู่หลายต้น แต่ต้นใหญ่ที่สุดและเขารักมากคือ
ต้นไทร ซึ่งเคยเป็นที่อยู่ของนกใหญ่น้อยมากมายแต่ถูกน้ำท่วมขังตายไปเมื่อคราวน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี
2526
ภายในตัวบ้านเต็มไปด้วยรูปภาพที่มากไปด้วยเรื่องราวมากมายของบุคคลสำคัญของ
สกุลในอดีตทั้ง 3 รุ่น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เขารู้สึกผูกพันกับบ้านหลังนี้มากเป็นพิเศษ
ม.ล.ชโยทิตเล่าเบื้องหลังของแต่ละภาพด้วยน้ำเสียงที่สะท้อนให้เห็นถึงความรักและภาคภูมิใจ
โดยเฉพาะเรื่องราวของพระรูปปั้นหินอ่อนสีขาวของพระบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้า
กฤษดาภินิหาร กรมพระนเรศวรฤทธิ์ ซึ่งแกะโดยช่างชาวอิตาเลียน เมื่อปี ค.ศ.1909
เดิมพระ รูปนี้อยู่ที่วังพระอาทิตย์ ส่วนรูปปั้นอีกรูปแกะด้วยบรอนซ์ เป็นรูปของเจ้าจอมมารดาซ่อนกลิ่น
ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าจอมท่านนี้กับพระองค์เจ้ากฤษดาภินิหารนั้นผูกพันกันมาก
เมื่อท่านสิ้น ประมาณเดือนหนึ่งให้หลังเจ้าจอมก็สิ้นตาม
"รูปของเจ้าจอมมารดาซ่อนกลิ่นนั้น หม่อมเจ้าหญิงพรรณเพ็ญแขได้ไป แล้วก็ยกให้คุณสืบ
บุญรัตพันธุ์ คุณสืบยกต่อให้ผม เพื่อให้แม่ลูกที่รักกันมากได้มาอยู่ที่เดียวกัน
ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมมีความผูกพันมากตั้งใจเก็บรักษาไว้ให้ดีที่สุด"
"กฤดากร" เป็นราชสกุลที่รับใช้เบื้องยุคลบาทอย่างใกล้ชิดมาตลอด
ตั้งแต่ยุคของต้น ราชสกุล ซึ่งเคยเป็นเสนาบดีกระทรวงนครบาลดูแลกรุงเทพมหานครและเมืองปริมณฑลทั้งหมด
โดยมีกรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย รับผิดชอบเมืองต่างจังหวัดในขณะนั้น
สองกระทรวงนี้ ต่อมาได้ยุบรวมกันเป็นกระทรวงมหาดไทยในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
และหลังจากยุบกระทรวงท่านก็มาเป็นเสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ
ปัจจุบัน ม.ร.ว.ยงสวาสดิ์ ดำรงตำแหน่งเป็นรองผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วน
พระมหากษัตริย์ ม.ล.ชโยทิต กฤดากร แม้ไม่ได้รับราชการแต่ก็ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์
ที่มีธนาคารไทยพาณิชย์ ที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
เขาจบปริญญาตรีเกียรตินิยมสาขา Economy History เริ่มทำงานครั้งแรกที่ธนาคาร
ในอังกฤษเกือบ 3 ปี กลับมาเมืองไทยเมื่อประมาณต้นปี 2535 โดยตัดสินใจมาร่วมงานด้านวาณิชธนกิจ
ให้กับธนาคารไทยพาณิชย์ ตามคำชวนของ ดร.โอฬาร ไชยประวัติ ในปี 2537 ก็ได้เปลี่ยนเป็นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์
"วัฏจักรของหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ช่วงที่เราเกิดสมัย ปี 2537 ต้องยอมรับว่ามีมากกว่า
80 บริษัทแข่งกันมากรายใหญ่ๆ เช่น ฟินวัน เจเอฟ เอสวัน ธนชาติ ธนสยาม เราเป็นน้องเล็กที่สุดในวงการและเหนื่อยมากเพราะไม่มีใครรู้จัก
พอมีดีลใหญ่ๆ ก็ไม่ค่อยได้ ก็ต้องสร้างคอนเนกชั่นกับผู้ใหญ่มาตลอด โชคดีที่ได้ชื่อของไทยพาณิชย์
หนุนด้วย ต่อมาเริ่มได้ดีลใหญ่ขึ้น และเมื่อบริษัทหลักทรัพย์ล้มหายตายจากไป
เราก็เลยเป็นตัวเลือก ที่จำเป็นขึ้นมายิ่งตอนนี้มีเหลือน้อย ก็เลยทำงานไม่ทัน
เพราะงานเข้ามาเยอะมาก"
แม้จะมีงานหลักสำคัญที่ต้องคอยรับรองผู้ใหญ่นอกเวลาทำงาน แต่เมื่อใดที่ว่างจะต้องรีบกลับบ้านทันทีด้วยอารมณ์ที่คิดถึงลูกปืน
ลูกชายคนเดียวที่อยู่ในวัยซน จนหลายต่อหลายครั้ง ต้องหอบหิ้วไปนั่งทำงานด้วยกัน
นอกจากบ้านหลังนี้เขายังมีบ้านพักของครอบครัวที่หัวหินและ คอนโดบ้านไข่มุก
ที่ส่วนใหญ่จะไปพักผ่อนพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวของพี่สาวและหลานๆ ที่จะกลับมาจากประเทศอังกฤษในช่วงเวลาปิดเทอม
สิ่งแวดล้อมกำลังก้าวเดินตามวันเวลาที่เปลี่ยนไป ความเจริญได้มุ่งเข้าสู่ย่านนี้อย่างรวดเร็ว
ถนนตัดใหม่หลายสายที่พาดผ่านไปมาทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นไม่ว่าจะไปใช้มอเตอร์เวย์เพื่อ
มุ่งหน้าสู่เมืองชายทะเล หรือจะเดินทางไปยังวงแหวนรอบนอก ขึ้นไปทางภาคเหนือของประเทศไทย
แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไปก็คือ ความรักและความผูกพันของม.ล.ชโยทิตที่มีต่อบ้านหลังนี้จนไม่ยอมย้ายไปอยู่ที่ไหนง่ายๆ
อีกแน่นอน