หากไม่นับการก่อวินาศกรรมอาคารเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ และ ตึกเพนตากอนในสหรัฐอเมริกา
ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ช็อกความรู้สึกของคนทั้งโลกแล้ว สถานการณ์ในประเทศไทย
ข่าวการทลายแก๊งฟอกเงินรายใหญ่ ซึ่งนำโดยรสริน และพิเชษฐ ช่อประดิษฐ 2 สามี-ภรรยา
ถือเป็นเหตุการณ์ที่โดดเด่นที่สุด ที่เกิดขึ้นในเดือนก่อน
เหตุการณ์นี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ต้นเดือน มีการสืบสวนสอบสวน จับกุมผู้ต้องหาและออกหมายจับไปแล้วเกือบ
100 ราย
จากการสืบสวนของตำรวจ ขบวนการนี้มีผู้ร่วมเกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก และเป็นขบวนการที่เกี่ยวพันกับการดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศ
เพราะผู้ที่ร่วมกระทำผิดหลายราย เป็นชาวอินเดีย ที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย
รวมทั้งคนไทยอีกจำนวนหนึ่ง
ทั้งกระทรวงการคลัง และแบงก์ชาติ ต่างออกมาระบุว่าขบวนการนี้ได้สร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นกับระบบธุรกิจของประเทศไปแล้วเป็นจำนวนมาก
มีการประเมินความเสียหายเฉพาะเรื่องของการฟอกเงินไว้ถึงประมาณ 7,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีส่วนเกี่ยวพันกับธุรกิจค้าน้ำมันเถื่อน เพราะ ผู้ต้องหามีการทำธุรกิจส่งน้ำมันออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านเป็นฉากบังหน้า
เฉพาะความเสียหายในส่วนของธุรกิจน้ำมันเถื่อนนั้น ประเมิน ไว้ว่าอาจสูงถึง
30,000 ล้านบาท
ยังไม่นับรวมเรื่องการโกงภาษี ทั้งภาษีสรรพสามิต และภาษี ศุลกากร ที่ยังไม่สามารถประเมินตัวเลขได้
การสืบสวนสอบสวน ยังขยายผลลงลึกไปอีกว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังขบวนการนี้เป็นผู้ที่มีอิทธิพล
ทั้งเป็นนักการเมือง อดีตรัฐมนตรี และนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงในหลายวงการ
ถึงขนาดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ความสนใจลงมาสอบถามความคืบหน้าในการดำเนินคดีด้วยตนเอง
ปัญหาของตำรวจก็คือเอกสารหลักฐาน พยาน และผู้ต้องหา ซึ่งมีเป็นจำนวนมาก
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้เวลา เพื่อให้การสอบสวน ทำสำนวนมีความรอบคอบ รัดกุมมากที่สุด
กองบังคับการสืบสวนสอบสวนคดีเศรษฐกิจ (สศก.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
คือหน่วยงานหลักที่เข้ามาดูแลในเรื่องนี้
แม้ว่าในระยะหลัง ความคืบหน้าของคดี ได้ถูกเหตุการณ์อื่น มากลบเกลื่อนให้เงียบหายลงไปบ้าง
แต่บทสรุปของเรื่องราวนี้ ถือเป็นสิ่งที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่องว่า ถึงที่สุดแล้วจะมีผลลงเอยอย่างไร