หลังเกิดเหตุในสายวันเดียวกัน รัฐบาลตอลิบัน ซึ่งเป็นรัฐบาลเผด็จการอิสลามที่โค่นล้มอำนาจเก่า
ได้ออกแถลงข่าวทันทีว่า
อุซามะห์ บิน ลาดิน ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนี้ แต่เนื่องจากการสอบสวนพบว่า
ผู้ก่อการร้ายล้วนแต่มาจากดินแดนตะวันออกกลาง และบางคนเคยถูกจับได้ในบ้านพักที่บิน
ลาดิน จ่ายค่าเช่า
ในปากีสถาน อีกรายรู้จักกับผู้ก่อการร้ายวางระเบิดเล็กๆ ใต้ถุนเวิลด์เทรดเมื่อปี
1993 ซึ่งเชื่อมโยงว่า บิน ลาดิน อยู่เบื้องหลัง
บิน ลาดิน เป็นผู้ก่อตั้งขบวนการอิสลามแนวหน้านานาชาติเพื่อสงครามศักดิ์สิทธิ์ต่อต้านชาวยิว
และพวกคริสเตียน (Interna-tional Isalamic Front for Jihad Against the Jews
and Crusaders) รวมทั้งหลายครั้งได้ให้สัมภาษณ์โจมตีอย่างรุนแรงถึงรัฐบาลอเมริกัน
ว่าเป็นพวกโหดเหี้ยม ทำร้ายรวมถึงเข้าครอบครองพื้นที่มุสลิม
โดยสนับสนุนอิสราเอล และประกาศจะให้บทเรียนที่สาสม ในวัน "ดำมืด"
แก่สหรัฐอเมริกา รวมถึงพลเมืองที่ต้องรับผิดด้วย
อุซามะห์ บิน ลาดิน เกิดเมื่อปี 1955 ที่เมืองเจดดาห์ ซึ่งเป็นเมืองการค้าหลักของซาอุดีอาระเบีย
พ่อเป็นเศรษฐีผู้มั่งคั่ง รับเหมาก่อสร้างทำงานให้รัฐบาล มีภรรยามากมาย และมีลูกถึง
54 คน
แม่ของบิน ลาดิน เป็นชาวซูดาน มีลูกชายเพียงคนเดียว บิน ลาดิน ตกเป็นลูกรัก
เพราะเขาเรียนจบด้านวิศวกรรม แต่รักการอ่านหนังสือมุสลิมอย่างยิ่ง
ด้วยจิตใจที่เคร่งศาสนา และการเกลียดชังคนขาวและพวกคริสเตียน บิน ลาดิน
เข้าร่วมกับเพื่อนชาวมุสลิมในอัฟกานิสถาน
ต่อต้านสหภาพโซเวียต ตั้งแต่ปี 1979 จากนั้นยังให้การสนับสนุนทางการเงินต่อไป
ตลอดช่วงเวลา 11 ปีของสงคราม โดยร่วมกับเพื่อนชาวปาเลสไตน์ตั้งศูนย์รณรงค์ช่วยเหลือ
ที่ต่อมามีสาขาไปทั่วโลก รวมถึงในสหรัฐอเมริกา และสามารถรับอาสาสมัครมุสลิมจากหลายประเทศทั่วโลก
มาช่วยทำการสู้รบ
นอกจากนั้น บิน ลาดิน ยังเป็นคนจัดการนำเข้าอุปกรณ์ก่อสร้าง เพื่อถล่มถนน
สร้างอุโมงค์ใต้ภูเขา โรงพยาบาล และ
โรงเก็บยุทธภัณฑ์ในอัฟกานิสถาน กระทั่งรัสเซียปราชัยและต้องถอยทัพ ในปี 1989
พร้อมกับร่ำลือถึงความยากเย็นในการโจมตีอัฟกานิสถาน
ในปี 1988 บิน ลาดิน ได้แยกมาจัดตั้งขบวนการ al-Qa'ida ขึ้น แต่หลังเพื่อนชาวปาเลสไตน์ถูกระเบิดถล่มรถยนต์
เขาได้กลับไปทำงานกับครอบครัวพักหนึ่ง แต่ก็ยังสนับสนุนการเคลื่อนไหวใต้ดินในซาอุดีอาระเบีย
และเยเมน รวมถึงเป็นศูนย์กลางกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง ทั่วตะวันออกกลาง ที่มีเครือข่ายในลอนดอนและนิวยอร์กด้วย
ต่อมาบิน ลาดิน ได้มีความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับราชวงศ์ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเขากล่าวหาว่าทำงานรับใช้อเมริกัน
ปี 1991 เขาไปอยู่ซูดานและต่อมาถูกยกเลิกฐานะพลเมืองซาอุดีอาระเบีย และถูกยึดทรัพย์สินมูลค่า
350 ล้านดอลลาร์
หลังจากที่ แอลจีเรีย ซาอุดีอาระเบีย และเยเมน เห็นพ้องว่าเขาได้สนับสนุนขบวนการหัวรุนแรง
ประกอบกับมีเหตุการณ์ระเบิดใต้ถุนตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ซึ่งเขาเป็นผู้ต้องสงสัย
รัฐบาลซูดาน
ได้ถูกรัฐบาลสหรัฐฯ บีบทางการทูต กระทั่งต้องขับบิน ลาดิน
จากนั้นเขากลับไปอยู่อัฟกานิสถาน โดยการต้อนรับของรัฐบาลทหารเผด็จการตอลิบัน
แต่ก็ต้องอยู่อย่างหลบซ่อนในอุโมงค์ลับ
ที่เปิดให้บุคคลภายนอก เช่น ผู้สื่อข่าวเข้าไปสัมภาษณ์ โดยไม่ให้รับรู้ถึงที่ตั้งแน่ชัด
เนื้อหาคำสัมภาษณ์จะยืนยันหลักการของเขาที่จะผลักบทบาทของสหรัฐอเมริกาออกไปจากตะวันออกกลาง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่สหรัฐฯ ช่วยเหลืออิสราเอล
ในปี 1998 จัดตั้งขบวนการต่อต้านยิวและคริสเตียน หรืออเมริกันขึ้น ปีเดียวกันนั้น
สถานทูตอเมริกา สองแห่งถูกวางระเบิด
ที่เคนยา และแทนซาเนีย ในเดือนพฤษภาคม ปี 2000 สหรัฐอเมริกา
ได้ออกแถลงผลการสอบสวนว่า บิน ลาดิน เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง
เชื่อกันว่า บิน ลาดิน ได้กระทำการบัญชาการเครือข่ายมุสลิมต้านคริสเตียนของเขา
โดยผ่านทางระบบดาวเทียมไฮเทค และระบบอินเทอร์เน็ต กระทั่งมีข่าวว่า พวกเขาใช้ห้อง
CHAT ของเว็บไซต์
ด้านกีฬา หรือเซ็กซ์ เป็นห้องสนทนา แลกเปลี่ยนกลยุทธ์ ข่าวสาร การก่อการร้าย
ทางด้านชีวิตส่วนตัวนั้น ว่ากันว่า บิน ลาดิน มีภรรยา 4 คน ตามบทบัญญัติที่เคร่งครัดของศาสนาอิสลาม
ให้ชายมีภรรยาได้จำนวนนี้ เพื่อมีลูกหลานสืบสายได้มากขึ้น เขามีบุตร 11 คน
หลังเกิดเหตุเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ เอฟบีไอ ได้เข้าทำการรื้อแหลก โดยเริ่มตรวจสอบจากรายชื่อผู้โดยสารที่ขึ้นเครื่องบินทั้งหมด
และจับรายนามต้องสงสัยของผู้ที่มีชื่อเป็นภาษาอารบิก การสอบสวนเข้าประเด็นทันที
เมื่อพบว่า หลายคนในกลุ่มนั้น ได้ไปฝึกเรียน
ขับเครื่องบินมา ตามคำคาดการณ์ที่ว่า โจรจี้เครื่องบินได้กระทำ
อัตวินิบาตกรรม โดยการฆ่านักบิน และขับเครื่องบินชนเป้าหมายเอง มีสองคนที่เข้ามาเรียนขับเครื่องบินในฟลอริดา
และอยู่ในอเมริกานานเป็นปี แต่บางคนเรียนมาจากเยอรมนี ยังตรวจพบรถเช่า
คันหนึ่งที่สนามบินบอสตัน มีคู่มือขับโบอิ้งเป็นภาษาอารบิกด้วย
เทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือ ช่วยให้เห็นภาพที่เกิดขึ้นบน
4 เครื่องบินมรณะง่ายขึ้น เมื่อมีผู้เคราะห์ร้ายสองสามคน โทรศัพท์ลงมาลาตาย
หรือโทรศัพท์แจ้ง 911 โดยเฉพาะเที่ยวบินที่ตกที่ เพนซิลวาเนียนั้น รายหนึ่งได้ขอให้คนอื่นโทรศัพท์แจ้งภรรยา
เพื่อลาตาย และบอกว่าตนกับผู้โดยสารคนอื่นกำลังวางแผนสู้
เครื่องบินลำนี้จึงบินไปตกกลางทุ่ง แทนที่จะพุ่งชนเป้าหมาย
ซึ่งอาจเป็นทำเนียบขาว หรือตึกที่ทำการแคปปิตอล ฮิล ในวอชิงตัน ดี.ซี.
การสอบสวนยังพบเหตุที่น่าสยดสยอง หลังเกิดเหตุมีการ
สั่งห้ามเครื่องบินทั่วประเทศบินทันที และพบว่ามีเครื่องบินอย่างน้อย 2 ลำที่บอสตัน
และที่สนามบิน นีวัค ซึ่งตรวจพบผู้โดยสารบางคน
ทิ้งมีดคัตเตอร์แบบเดียวกับที่ผู้เคราะห์ร้ายโทรแจ้งว่า พวกมันใช้
จี้นักบินหรือปาดคอผู้โดยสาร หากยังบินขึ้นฟ้าต่อไปไม่สามารถ
คาดเดาได้ว่า เป้าหมายโจมตีนั้นอยู่ที่ไหน
เมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ ยืนยันไม่ขาดสายว่า การสอบสวนเชื่อมโยงไปที่บิน ลาดิน
รัฐบาลตอลิบัน ก็ประกาศว่า ไม่ขอรับรองความปลอดภัยของชาวตะวันตกในประเทศและขอให้ลี้ภัยไปเสีย
ฝรั่งจึง
พากันอพยพออกจากอัฟกานิสถานทันที พวกที่เหลืออยู่คือ พวกคริสเตียนที่เข้าไปเผยแพร่ศาสนา
โดยอ้างว่านำความช่วยเหลือทางอนามัยและโภชนาการ กลุ่มนี้ถูกรัฐบาลตอลิบันจับเข้าคุก
ในข้อหากระทำการละเมิดในดินแดนศาสนาอิสลาม
สภาพภูมิประเทศที่แห้งแล้งของอัฟานิสถาน ทำให้ประชาชน 6 ใน 24 ล้านคนตกอยู่ในสภาวะขาดแคลนอาหาร
การอนามัย และ
ไร้บ้านช่อง ประชาชนจำนวนมากหนีไปอยู่ค่ายอพยพในปากีสถาน และบางคนก็หนีไปทำมาค้าขาย
ร่ำรวยตามเมืองชายแดนที่ปากีสถาน
อย่างไรก็ตาม อเมริกาตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เพราะไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเป็นบิน
ลาดิน และรัฐบาลตอลิบันได้เล่นแง่ว่า หากไม่มี
หลักฐานก็ไม่สามารถส่งตัวผู้ต้องหาให้ได้ จะส่งกองทัพทางบกเข้าอัฟกานิสถาน
ก็ได้คำเตือนจากสหภาพโซเวียต ที่รบกับอัฟกานิสถานมา 10 กว่าปี เอาชนะไม่ได้เพราะทหารอัฟกานิสถานนั้น
เชี่ยวชาญ
ในพื้นที่เฉพาะที่เป็นภูเขาทะเลทราย รู้จักทางหนีทีไล่ แต่ถ้าคิดจะ
ถล่มอัฟกานิสถานทางอากาศ ก็จะถูกประณามที่ทำลายประชาชน
บริสุทธิ์ด้วย
การเปิดสงครามกับประเทศเคร่งอิสลาม ยังเป็นเรื่องเปราะบาง
ที่จะเกิดผลขัดแย้งกับชาวมุสลิมชาติอื่นทั่วโลก รวมถึงอาจส่งผลต่อปัญหาพลเมืองสหรัฐอเมริกา
ซึ่งมีชนมุสลิมจำนวนมากด้วย
ท้ายสุด ประธานาธิบดีจอร์จ บุช หาทางออกที่ไม่สมศักดิ์ศรีอินทรีนัก ในวันศุกร์ที่
21 กันยายน คือการประกาศต่อคองเกรสและประชาชนทางทีวีช่วงไพรม์ไทม์ 9 นาฬิกา
จัดตั้ง "แคมเปญต่อต้านการก่อการร้าย" ในวันเดียวกับที่นายกรัฐมนตรี
โทนี่ แบลร์ ของอังกฤษมาเยือน
สองวันต่อมา ก็มีข่าวว่าอัฟกานิสถานประกาศ "บิน ลาดิน" หายตัวลึกลับ
ไม่สามารถใช้วิทยุติดต่อได้ และทางอเมริกาก็ต้องเชื่อ พอที่จะไม่ออกมาตอบโต้ว่าเป็นเกมใดๆ
การสอบสวนล่าสุด เอฟบีไอได้ร่วมกับตำรวจทั่วโลก สอบสวน
ผู้ต้องสงสัยว่า เคยมีสัมพันธ์ใดๆ กับโจรจี้เครื่องบิน 4 ลำ 18 คน
ทั้งในสหรัฐอเมริกา มิวนิก เยอรมนี และลอนดอน กว่า 700 คน
มีการพบว่า ผู้ต้องสงสัยรายหนึ่งเคยพบกับสายลับอิรัก และรัฐบาล
ตอลิบัน ก็เคยชี้แนะว่า แผนนี้อาจเป็นการก่อการร้ายของพวกเศรษฐีอาหรับ อย่างไรก็ตาม
รัฐบาลอเมริกันยังประกาศมั่นว่า บิน ลาดิน เท่านั้นที่เป็นผู้บงการ คดีนี้จะปิดแฟ้มลงหรือไม่
ยังคะเนไม่ได้
สงครามโลกครั้งที่ 3 ยังไม่น่าเกิดขึ้นง่ายๆ!!